ผ่านไป 1 สัปดาห์ ที่บรรยากาศ ในโรงพยาบาลศิริราช โดยเฉพาะอาคารเฉลิมพระเกียรติ ไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่มาร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
แต่หลังการสวรรคตของพระองค์ท่าน ความเงียบงันได้ยึดกุมทุกพื้นที่ทั่วโรงพยาบาล โดยเฉพาะบุคคลที่เคยถวายงานรับใช้พระองค์ท่าน ที่ยังอยู่ในอาการโศกเศร้าแม้เวลาจะผ่านมาหลายวันก็ตาม
อุทัย ภาเจริญสุข พนักงานรักษาความปลอดภัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บุคคลที่ได้ขับลิฟท์(กดลิฟท์รับ-ส่งขึ้นลง) ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ ตอนขึ้นลงอาคารเฉลิมพระเกียรติ เล่าว่า
เข้าทำงานเป็นรปภ.มา 18 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2541 และได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่านเมื่อปี พ.ศ.2545 จากการคัดเลือก รปภ. 200 คน เหลือเพียง 18 คน ถือเป็นความปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ท่าน ส่วนหน้าที่ที่ต้องถวายงานพระองค์นั้น คือ เมื่อพระองค์ท่าน หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาที่อาคาร ตนจะเป็นคนขับลิฟท์ถวายส่งพระองค์ท่านไปยังชั้นที่จะเสด็จประทับ
อุทัยเล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่จำไม่มีวันลืม คือ ตอนที่พระองค์ท่านจะเสด็จกลับ ทุกครั้งเมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง พระองค์จะตรัสเสมอว่า “ขอบใจนะ” ตนทั้งตื่นเต้นและดีใจ จึงตอบกลับไปว่า “ด้วยเกล้าพระเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าพูดคำราชาศัพท์ถูกหรือไม่
อีกเรื่องที่ตนซาบซึ้ง และไม่รู้จะตอบแทนพระองค์ท่านได้อย่างไร เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ตนขี่จักรยานมาทำงานแล้วถูกรถยนต์ชนจนบาดเจ็บสาหัส แขน ขา และสะโพกหัก ต้องรักษาตัวอยู่ 9 เดือน พอผู้รับใช้ของพระองค์ท่านทราบเรื่อง ได้รับตนเข้าเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ถือเป็นวาสนาของตนมากที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ แม้จะเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่พระองค์ท่านก็ทรงใส่ใจ และช่วยเหลือเมื่อยามยากลำบาก
“เหตุการณ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดที่ชีวิตนี้จะไม่มีวันลืม เกิดขึ้นในคืนหนึ่งเวลาประมาณ 23.00 น. ผมได้ขับลิฟท์ถวายแก่พระองค์ท่าน ขณะอยู่ในลิฟท์ พระองค์ท่านนำพระหัตถ์มาจับไหล่ผม และตรัสว่า “ได้นอนหรือยัง” ผมตอบพระองค์ท่านไปว่า “ยังพระพุทธเจ้าคะ” ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและฝันมาก่อนว่าจะได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านขนาดนี้ อยากเก็บชุดตัวนั้นเอาไว้ไม่ซักอีกเลย” รปภ.ศิริราช เล่าด้วยความภาคภูมิใจ
อุทัย เล่าต่อว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ขับลิฟท์ถวายพระองค์ท่าน คือตอนเข็นพระบรมศพลงมาทางลิฟท์ตัวที่ 7 จากชั้น 16 ลงมาที่ชั้น บี 2 ตนใส่ชุดเครื่องแบบรปภ.เต็มยศพร้อมถุงมือ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เต็มที่
จนเมื่อรถเข็นของพระองค์ท่านเสด็จออกจากลิฟท์ไปนั้น ตนก้มลงกราบ และกลับเข้าไปในลิฟท์ร้องไห้ออกมาทันที กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะจากที่เมื่อก่อนถวายงานทุกวัน
จนวันนี้วันที่ท่านไม่อยู่แล้ว รู้สึกว้าเหว่ ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่าน โดยหลังจากนี้ตั้งใจจะเก็บถุงมือที่ถวายงานมาใส่กรอบไว้ให้ลูกหลานได้ดูต่อไป
“จากนี้ไปจะนำคำสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และจะเป็นคนดีของสังคม คนอื่นอาจมองอาชีพ รปภ. หรือ ยาม เป็นอาชีพสุดท้ายที่จะเลือกเป็นได้ ไม่มีใครชอบ แต่สำหรับตน มีความภูมิใจและถือเป็นเกียรติมากที่ได้ทำอาชีพนี้ และได้ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน มันคุ้มและยิ่งใหญ่มากพอแล้ว” พี่อุทัยตั้งปณิธานในชีวิต
ขณะที่ วิโรจน์ วงศ์ละม้าย พนักงานรักษาความปลอดภัย อาคารเฉลิมพระเกียรตฺ ถือเป็นอีกคนที่มีโอกาสรับใช้พระองค์ท่าน เล่าว่า ตนถวายงานดูแลรักษาความปลอดภัยที่ชั้น จี ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ครั้งแรกที่เห็นพระองค์ท่านตนน้ำตาไหลออกมาด้วยความปลื้มปิติ
ตอนที่พระองค์ท่านยังแข็งแรง หากเสด็จลงมาจากชั้น 16 พระองค์ท่านจะแย้มพระสรวลตลอด ชีวิตนี้ตนตายหลับแล้ว เพราะได้รับใช้พระเจ้าแผ่นดิน ทั้งยังถือเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลอีกด้วย
วิโรจน์ เล่าอีกว่า พระองค์ท่านทรงมีเมตตากับพวกตน และทุกคนที่ถวายงานท่าน ทั้งมหาดเล็ก ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ในวันสำคัญอย่างวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม ของทุกปี ท่านก็จะประทานเค้กให้พวกตนได้กินกัน ทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างมาก” วิโรจน์ ย้อนเล่าถึงความปลาบปลื้มใจในชีวิต
วิโรจน์ ยังเล่าอีกว่า หลังจากพระองค์ท่านสวรรคต ตนใจหายและนอนไม่หลับ ถ้าเปลี่ยนให้คนแทนได้ก็จะทำ อยากให้พระองค์ท่านมีชิวิตอยู่ เพราะไม่มีพระราชา ที่ไหนที่จะทำเพื่อประชาชนเหมือนพระองค์ท่านอีกแล้ว
ซึ่งหลังไม่มีพระองค์ท่านประทับอยู่ที่นี่ บรรยากาศที่นี่ก็เงียบเหงาไม่เหมือนเดิม แต่ยังมีประชาชนบางคนเดินมาที่ตึกแล้วร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตึกเดินมาทำงานยังตาแดงเสียใจกับการสวรรคตของพระองค์ท่าน ส่วนตนหลังจากนี้จะยึดแนวทางคำสอนของพระองค์ท่าน เรื่องการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหายให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่เต็มกำลัง และทำหน้าที่ตามที่ท่านสอนไว้
วันนี้แม้ไม่มี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชแล้ว แต่ภาพความประทับใจ และคำสอนของพระองค์ท่าน จะฝังอยู่ในทรงจำของบุคคลที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยถวายงานรับใช้พระราชาที่มีคนรักมากที่สุดในประเทศไทย