เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า ทันตแพทยสภา สมาคม ชมรมและองค์กรต่าง ๆ 15 องค์กร ในวิชาชีพทันตกรรมได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) ออกกฎกระทรวงยกเว้นเครื่องกำเนิดรังสีทางทันตกรรม ไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559
ทั้งนี้เครือข่ายมีความเห็นร่วมกันว่า พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 จะส่งผลกระทบต่อทันตแพทย์และประชาชนผู้รับบริการทันตกรรมอย่างมาก
ถึงแม้ว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้ตราขึ้นโดยมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองประชาชนและสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ในทางสากลที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์ แต่กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมเครื่องกำเนิดรังสีวัสดุกัมมันตรังสีและวัสดุนิวเคลียร์ จึงส่งผลกระทบถึงเครื่องกำเนิดรังสีทางทันตกรรมและเครื่องกำเนิดรังสีทางการแพทย์ด้วย
นายกทันตแพทยสภา กล่าวต่อว่า กฎหมายนี้มีความเข้มงวดและมีโทษที่รุนแรงโดยระบุให้ผู้ครอบครองเครื่องหรือผู้ใช้เครื่องกำเนิดรังสี ต้องได้รับอนุญาตจากเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ใบอนุญาตมีอายุ 5 ปี ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ครอบครองเครื่องกำเนิดรังสีต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีปฎิบัติหน้าที่ในสถานที่ทำการของผู้รับใบอนุญาตอย่างน้อยหนึ่งคนประจำตลอดเวลาทำการโดยเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสีต้องได้รับใบอนุญาตจากเลขาธิการสำนักงานปรมณูเพื่อสันติ ใบอนุญาตมีอายุ 3 ปี ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นโทษที่รุนแรง ไม่เป็นธรรมต่อทันตแพทย์และผู้ใช้เครื่องกำเนิดรังสี กฎหมายนี้จะส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการทางทันตกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในด้านความสะดวกและค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ เครื่องกำเนิดรังสีทางทันตกรรมเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันตแพทย์ใช้ประกอบในการวินิจฉัยโรคทางทันตกรรม เป็นเครื่องกำเนิดรังสีขนาดเล็กที่มีปริมาณรังสีต่ำมีใช้ในคลินิกทันตกรรมมาเป็นระยะเวลานานแล้วโดยไม่ปรากฏถึงอันตรายร้ายแรงต่อประชาชนผู้รับบริการ ผู้ใช้เครื่องและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเครื่องมือนี้ไม่ได้ใช้อย่างพร่ำเพรื่อแต่ใช้ตามความจำเป็นตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์