เรียบเรียงข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม
ภาพจาก ข่าวสด , อินสตาแกรม
หลังจากกรณี ข่าวช็อควงการบันเทิง เมื่อนักแสดงมากฝีมืออย่าง “ท็อป” ดารณีนุช โพธิปิติ ออกมาเปิดเผย ว่าได้หย่ากับสามี “อู๋” กฤต โพธิปิติ มาปีกว่าแล้วนั้น
เว็บไซต์โดดเด่นดอทคอท รายงานว่า รายละเอียดทั้งหมดทางข่าวสด ได้เสนอไว้ดังนี้ เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ เผยว่า
“ที่แยกทางกันต้องบอกว่ามันเป็นปัญหาสะสม ถามว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับอะไรมันก็ไม่สามารถอธิบายได้
มันมีหลายเรื่องจนทำให้เราหมดใจลงเรื่อยๆ พอมันมีช่องว่างไม่เข้าใจกันก็ไม่อยากจะเห็นหน้าไม่อยากจะคุยกัน เหมือนมันหมดใจหมดรัก ความรักมันหมดอายุแล้ว”
เราหมดศรัทธาซึ่งกันและกันใช่ไหม? “ใช่ค่ะ น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ ความศรัทธาต่อกันมันเป็นเรื่องสำคัญ
จริงๆคนเราไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาเก่งสมบูรณ์แบบ แต่เราเชื่อว่าคนเราถ้ามีหน้าที่มีความตั้งใจที่จะดูแลอะไรต่างๆพี่ก็คิดว่าเราก็คงจะไม่เสียศรัทธากัน”
ประคองรักกันมา20กว่าปี ทำไมถึงต้องเป็นวันนี้ ? “20กว่าปีมันก็มีเรื่องราวทั้งดีและไม่ดีมันอาจจะมีเรื่องที่ทุกข์มากกว่าสุข สิ่งสำคัญเรารอให้ลูกเราเติบโตพอที่จะรับเรื่องนี้ได้ เราไม่ได้แต่งงานเพื่อจะมีเป้าหมายที่จะหย่ากันหรอกค่ะ
เราแต่งงานกันเพื่อจะมีเป้าหมายมีครอบครัวที่สมบูรณ์มีความสุข แต่พอมันเดินทางมาเรื่อยๆแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะ
ชีวิตที่เหลือมันไม่ได้จะอยากอยู่ร่วมกันกับคนๆนี้ เราก็มาตัดสินใจว่าจะยังไงไม่ใช่ว่าจะมาตัดสินใจสายฟ้าแลบ เราหันมาดูว่าไปต่อไม่ได้ ก็หันมาดูลูกเรา คนรอบข้างแล้วเราถึงค่อยๆเริ่มพูดกับเขา ก็พยายามปรับความเข้าใจกับสามีแต่มันก็ไม่รอด
ถ้ามันไม่รอดแล้วลูกเราโตพอรับได้ก็เลยตัดสินใจแยกกันดีกว่า เราจะได้อิสระกันทั้งคู่”
มันมีปัญหาคาราคาซังมานานรุนแรงแค่ไหนถึงขั้นต้องเลิกกัน? “มันเป็นปัญหานามธรรม เราก็บอกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ เธอเป็นคนทำ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตฉันฉันก็เป็นคนทำ เราก็ไม่ได้โทษเขานะ
ตรงนี้มันก็แฟร์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เราก็ไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์แบบ และเราก็บอกกับเขาว่าไม่ได้ต้องการความรักที่มันสมบูรณ์แบบหรอก แต่มันเป็นความรักที่อบอุ่นแข็งแรงอยู่ด้วยแล้วมีกำลังใจแต่ถ้าเราไม่ได้ตรงนั้นเราจะอยู่ไปเพื่ออะไร”
คิดมานานขนาดไหนกว่าจะตัดสินใจหย่า? “หย่าไปเมื่อเดือนสิงหา 56 เราคุยกันก่อนหน้านั้นเป็นระยะๆเรื่อยๆจนกระทั่งใจมันวางลงว่าเป้าหมายเราคือเรื่องนี้นะว่าอยากหย่า ดูท่าทีกันและกันและเช็คใจตัวเองด้วยว่าเราพูดไปเพราะอารมณ์หรือเปล่า
พออยู่กันไปก็รู้ว่าไม่เอาแล้วล่ะ ตอนที่หย่าก็ยังอยู่ด้วยกันก่อนประมาณสักปีหนึ่งค่ะ ตอนนี้ก็แยกกันไปแล้วค่ะ ก็ยังติดต่อกันอยู่ค่ะ อย่างน้ำตาลสดที่เขาทำเราก็ซื้อเขาและหาตลาดให้เขาเวลาที่มีงานตลาดดาราก็เป็นในชื่อเราและให้เขาไปขาย ไม่ใช่ว่าเกลียดกันไม่มองหน้ากันเราก็ยังช่วยเหลือกันอยู่”
เพราะว่ามีงานคู่ติดต่อเข้ามาเลยต้องออกมาพูดรึเปล่า? “จริงๆมันก็ไม่เชิงว่าเป็นงานคู่ก็จะมีหลายๆอย่างๆก่อนหน้านี้ที่มีงานพิธีกรเราก็ไม่รู้จะพูดยังไงก็รู้สึกอึดอัด
พอรายการนี้ถามถึงสถานะครอบครัวเราก็บอกไปว่าจริงๆพี่เลิกกันแล้วนะ เขาก็ตกใจว่า อ้าว หรอครับ ก็เลยคุยๆรายละเอียด ถามว่าเราเปิดเผยได้ไหม เราก็บอกว่าได้ก็เลยเป็นเหตุให้เรามาพูดกับสื่อวันนี้”
มีปัญหาเรื่องมือที่สามรึเปล่า? “พี่ว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะถ้ามือสองมือมันจับกันแน่นมือที่สามก็เข้ามาไม่ได้อยู่แล้วแหละ
ปัญหามันต้องเกิดจากคนสองคนก่อน เราเลิกกันไปปีกว่าแล้วหลังจากนั้นเขาจะไปมีใครอะไรยังไงก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิด สำหรับตัวเราเองและลูกก็เห็นว่ามันไม่มีอะไร ตอนนี้เขาจะมีไหมเราก็ว่ามีได้ไม่ผิด”
เรื่องลูกใครเป็นคนดูแลเป็นหลัก? “เราเลือกแล้วว่าเราจะเป็นคนดูแลลูกตั้งแต่ตอนก่อนที่เราจะหย่ากัน เราไม่ได้คิดว่าเป็นภาระอะไร มันเป็นหน้าที่ที่เราภาคภูมิใจและจะทำให้ดีที่สุด
พี่ดูแลลูกทุกๆเรื่องทั้งการส่งเสียเงินทอง การอบรมดูแลทั้งหมดแต่พ่อเขาก็มีส่วนช่วยสอน”
เขามีส่งค่าเลี้ยงดูไหม? “ไม่มีค่ะ เราเลี้ยงของเรา เขาก็ไม่ได้ส่งเสียอะไรเราก็ทำของเรามาตลอด แต่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้นะคะ เราก็คุยกันแต่แรกเลย เขาก็เป็นคนน่ารักนะคะ เขาก็รู้ว่าเราทำอะไรมา อะไรเป็นของเขาไม่ใช่ของเขา
เขาไม่ได้ว่าสินสมรสต้องแบ่งครึ่งนะเพราะบ้านที่อยู่เป็นบ้านเรา ตามกฎหมายมันแบ่งครึ่งก็ได้แต่เขาก็น่ารักเขาก็ไม่มายุ่งอะไร อันไหนเป็นของเขาอย่างรถเขา เราก็ให้เขาไป
ทุกอย่างจบลงด้วยดีไม่มีอะไรที่ต้องด่าสาดกัน มันไม่ใช่จุดอิ่มตัวมันคือความรักที่หมดอายุมากกว่า มันอยู่กันไปแล้วไม่ได้เกิดความเข้าใจ แต่ว่าความเชื่อใจเรามี”
เสียใจไหม? “ณ วันนั้นเราไม่ได้ร้องไห้นะ แต่เรากลัวลูกรับไม่ได้มากกว่า เราไม่ได้โด่งดังเป็นซุปเปอร์สตาร์แต่เรื่องนี้คนรอบข้างเขารับรู้ถามว่าเสียใจไหมไม่นะ อาจจะเป็นความกลัวมากกว่า”
เสียดายเวลาที่ผ่านมาไหม? “ไม่เลย เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตมันคือสิ่งที่ดีสำหรับเรา ถ้าเรามีชีวิตที่ราบเรียบ เราอาจจะไม่เข้าใจก็ได้
ถ้าวันนึงเมื่อเราตกอยู่ในหลุมความทุกข์แล้วเราจะขึ้นมาจากมันยังไง พอเราเจอเรื่องที่ท้าทายเราจะฝึกใจเรายังไงให้ผ่านเรื่องราวต่างๆไปได้
พี่ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้เราได้มีพลังในการดูแลครอบครัวมากขึ้น ตอนนี้เราต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ลูกของเรา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำหน้าที่ตรงนั้น
คือถ้าลูกยืนอยู่กับเราในบ้านแล้วมันมีอะไรที่เป็นเหตุที่เหมือนต้องวิ่งหาพ่อ แต่ไม่มีพ่อเขาก็ต้องวิ่งมาหาเราแทน ซึ่งเราก็ต้องทำให้ได้”
วันที่เขาเดินออกไปจากบ้านเรารู้สึกเคว้งไหม? “ไม่เลย แต่อาจจะรู้สึกแปลกๆที่คนเคยเห็นกันเดินอยู่ในบ้าน แต่วันนึงเขาไม่ได้เดินแล้ว แต่ของเขาบางส่วนก็ยังอยู่”
แบ่งสินสมรสกันยังไง? “ก็ยังให้เขาหมดเลย เพื่อให้เขาเลี้ยงตัวเองได้ อย่างธุรกิจน้ำตาลสดเขาก็เป็นคนริเริ่มที่จะทำ เราแค่ช่วยเขาหาตลาดเท่านั้น”
ตอนนี้ใช้นามสกุลอะไร? “ใช้ปสุตนาวิน แต่ตอนแรกที่เราหย่ากันเราขอใช้นามสกุลเขาก่อน เพราะเราห่วงว่าสังคมจะมองยังไง แต่พอวันนึงที่ทุกอย่างมันมั่นคงขึ้นเราก็ค่อยๆบอกคนรอบข้างว่าเปลี่ยนมาใช้นามสกุลนี้แล้ว”
มีอะไรอยากบอกถึงคนที่เป็นห่วง? “ต้องขอขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง คนอาจจะจับตามองด้วยภาพเราเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวอยู่แล้ว
ถ้าหากคุณไม่ได้เติมเต็มชีวิตคู่ เรายอมรับว่าอาจจะไม่ได้เป็นภรรยาที่ดีเพราะเราทำแต่งาน ไม่ได้หันกลับมาดูว่าเขาเป็นยังไง
เพราะฉะนั้นก็อยากให้ลองย้อนหลับไปดูด้วยว่าเราดูแลคนในครอบครัว เราเติมเต็มชีวิตคู่ได้สมบูรณ์แค่ไหน ถ้ามีขาดก็เติมให้เต็มและประคับประคองให้ดีที่สุด”