นวัตกรรมลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าด้วยการฉีดเลือดของคนไข้ แทนการฉีดฟิลเลอร์สังเคราะห์ ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากใช้เวลาทำเพียงแค่ชั่วโมงเดียว แต่ได้ผลลัพธ์ยาวนานกว่าการฉีดโบทอกซ์ แต่แพทย์ผิวหนังจำนวนหนึ่งยังไม่มั่นใจว่า เทคนิคนี้ปลอดภัยอย่างที่หลายคนคิดไว้หรือไม่ ความพยายามที่ไม่เคยหยุดยั้งของแพทย์ผิวหนังในสหรัฐฯ ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ของการลดเลือนริ้วรอยที่เรียกว่า เทคโนโลยีเซลฟิล หรือที่รู้จักแพร่หลายในชื่อ “แวมไพร์ เฟซเชียล ลิฟต์” ซึ่งแพทย์จากสถาบันความงามหลายแห่ง อ้างว่าเป็นเทคนิคเติมเต็มผิวที่เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัด แต่ให้ผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์ โดยผิวหน้าของคนไข้ ดูสดใส เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด และเต่งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หัวใจของเทคนิคแวมไพร์ เฟซ คือการใช้เลือดสดๆของคนไข้ที่เข้ารับบริการ ฉีดเข้าไปบริเวณริ้วรอยต่างๆ แทนการใช้สารสังเคราะห์เหมือนการทำโบทอกซ์ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะสะสมใต้ชั้นผิวหนังและกลายเป็นพิษต่อร่างกายมากกว่า
อย่างไรก็ตาม แพทย์ผิวหนังอีกจำนวนหนึ่งเชื่อว่า เทคนิคแวมไพร์เฟซอาจก่อผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว และไม่คุ้มค่ากับเงินกว่า 1,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 45,000 บาท เพราะจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า เลือดที่ฉีดเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้จริงหรือไม่ อีกทั้งจะให้ผลปลอดภัยเหมือนการฉีดเลือดเข้าสู่กระดูก ซึ่งเป็นเทคนิคในการรักษาโรคที่มีมาก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่
ที่สำคัญ มีคนไข้บางราย เปิดเผยว่า ไม่เห็นความแตกต่างหลังจากทำแวมไพร์เฟซ ทั้งยังมีรอยช้ำเต็มหน้า ขณะที่บางคนต้องกลับมาทำใหม่ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ทั้งที่ตอนฉีด แพทย์กล่าวว่า จะได้ผลยาวนานถึง 18 เดือน ที่สำคัญ แวมไพร์เฟซยังเป็นเทคโนโลยีที่ต้องได้รับการศึกษาวิจัยอีกมาก เพื่อให้แน่ใจว่า ผลลัพธ์ที่ได้ จะคุ้มค่าแก่การรอคอยและค่าใช้จ่ายที่เสียไปหรือไม่
ขั้นตอนการทำ!!
ขั้นตอนแรก -> ดูดเลือดมาปั่น
เจาะเลือดของเราออกมา 10 ซีซี จากนั้นเข้าสู่กระบวนการปั่นเพียงแค่ 7 นาทีเท่านั้น
“ในเลือดของเราจะประกอบด้วยส่วนที่เป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดและ ส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า พลาสมา (Plasma) เมื่อเราเจาะเลือดแล้วนำมาปั่นที่รอบความถี่เหมาะสม เราจะได้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดแยกออกมาเป็นชั้น
โดยชั้นที่เป็นเกล็ดเลือดเยอะเรียกว่า PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นชั้นที่จะนำมาใช้ เนื่องจากในเกล็ดเลือดเมื่อนำมากระตุ้นด้วยแรงปั่น จะทำให้หลั่งสารที่เรียกว่า Growth Factor สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์ได้ เช่น กระตุ้นการหายของแผล การสร้างหลอดเลือดใหม่ การสร้างกระดูก และการสังเคราะห์คอลลาเจน เป็นต้น”
ขั้นตอนที่ 2 -> ฉีดยาชาบล็อกหน้าบรรเทาเจ็บ
ทายาชาทิ้งไว้ทั่วหน้าประมาณ 20-30 นาที วูบแรกคิดว่าเพียงแค่ทายาชาเรื่องคงจะจบ เพราะคงไม่เจ็บอะไรนักหนา ปกติเป็นคนไม่กลัวเข็ม
“นั่นยังไม่พอทานความเจ็บ” เอ๊ะ! ได้ยินเสียงใครพูดแว่วๆ
หลังจาก 30 นาที คุณหมอฉีดยาชาซ้ำ บล็อก 6 จุด หน้าผาก 2 จุด ข้างจมูก 2 จุด คาง 2 จุด ฉีดตามแนวโพรงประสาท กล่าวแต่เพียงว่า เพื่อบรรเทาความเจ็บที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
ขั้นตอนที่ 3 -> เจ็บสุดพลัง
ขั้นตอนนี้ไม่จัดว่าอยู่ในโปรแกรมเเวมไพร์เฟซ แต่เนื่องจากเป็นคนรูขุมขนกว้างใหญ่ ทาแป้งทีไรลงไปกระจุกตัวอยู่ตามรูขุมขนเสมอ น่าอายนัก! รวมทั้งหลุมสิวจากการแกะสิวที่ทิ้งให้เจ็บใจ คุณหมอจึงทำการStamping ด้วย DermaPen บริเวณที่มีปัญหา เพื่อทำให้ผิวบาดเจ็บก่อนจากนั้นจึงฉีด PRP กลับเข้าไปเพื่อเป็นตัวช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้เร็วขึ้นนั่นเองแต่หากใครไม่มีปัญหาเรื่องหลุมสิว รูขุมขนกว้าง ก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยจ้า
“เลือดที่เห็นว่าเยอะเต็มหน้าไม่ได้เกิดจากการทำแวมไพร์เฟซแต่มันเกิดจาก Derma Pen ซึ่งเป็นเครื่องมือที่แก้เรื่องหลุมบนใบหน้า เกิดจากเครื่องมือและการทำ Stamping ให้หน้าเกิดการบาดเจ็บก่อน แม้จะดูเลือดเยอะ แต่ไม่อันตรายเพราะไม่ได้ฉีดอะไรเข้าหน้าที่เป็น Chemical”
ผลลัพธ์ที่ได้
หลังทำทันทีรู้สึกได้ว่า หนังหน้าแน่นบวมอืดมาก คุณหมอกำชับว่า 24 ชั่วโมงแรกห้ามโดนน้ำเด็ดขาด เลี่ยง แดด ฝุ่น เสี่ยงติดเชื้อ เพราะแผล และเลือดเต็มหน้า
“หลักการของแวมไพร์ฯ จะดีขึ้นเรื่อยอาทิตย์ที่ 3 ถึง 1 เดือน จากนั้น 1 เดือนทำซ้ำอีกรอบ คล้ายๆ เป็นการฉีดวิตามินมากกว่า อย่าไปคิดว่าการทำแวมไพร์เฟซฯ จะเปลี่ยนหน้าเราไปเลย แต่จะช่วยในเรื่องการบำรุงมากกว่า
3-6 เดือนหน้าจะกลับมาในสภาพผิวปกติหากดูแลไม่ดี ตามหลักการควรฉีดติดต่อกันถึง 3 ครั้งในทุกเดือน หรือเดือนละครั้งนั่นเอง
คนที่เห็นผลชัดจะต้องมีอายุเยอะเล็กน้อย ประมาณ 40 ปีขึ้นไป จะเห็นผลชัดเจนกว่าคนอายุน้อย เพราะมีริ้วรอย และปัญหาผิวหน้ามากกว่า” คุณหมอ กล่าวปิดท้าย
จากผลการศึกษาพบว่าหน้าจะฟูเด้งได้ยาวนานถึง 15 เดือน
ขอบคุณที่มา www.manager.co.th/celebonline และ news.voicetv.co.th