ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีการนำร่างของน้องไอนส์ เด็กหญิงวัย 2 ปี ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง มาแช่แข็งด้วยกระบวนการไครโอนิกส์ ที่สหรัฐฯ โดยหวังว่าเทคโนโลยีในอนคตจะสามารถชุบชีวิตลูกสาวคนนี้ขึ้นมาได้ โดยกล่าวว่าเทคโนโลยีการแช่แข็งนั้น โดยทั่วไปปัจจบุันนี้จะใช้กับการแช่แข็งเซลล์สิ่งมีชีวิตแบบเซลล์เดียวเท่านั้น เช่น การแช่สเปิร์ม แช่แข็งไข่ และไข่ที่มีการผสมแล้ว แต่ถ้าเอาทั้งตัวคน ซึ่งมีเส้นเลือด เส้นประสาทเยอะ ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ ยิ่งถ้าตายไปแล้วยิ่งไม่ได้ใหญ่ เทคโนโลยีนี้ต้องใช้กับเซลล์ และต้องทำตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เซลล์มันหยุดอยู่กับที่ ไม่ใช้พลังงาน ไม่แบ่งตัว
นายแพทย์สมศักดิ์ยังกล่าวอีกว่าสำหรับไครโอนิกส์ปัจจุบันก้าวหน้าไปเพียงการเก็บเซลไว้ไม่ให้เน่าได้ ซึ่งใช้มานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่ถ้าจะให้ฟื้นขึ้นมาแล้วทำงานเหมือนเดิมมันอาจจะทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเหมือนในขั้วโลกเหนือ ที่มีสิ่งมีชีวิตฝังไว้ในใต้หิมะ ก็สามารถขุดมาเป็นตัวได้เลย แต่ทำให้มันฟื้นไม่ได้ ยกเว้นจะเอาเซลล์ หรือพันธุกรรมมาผสมต่อเท่านั้น
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์นานาชาติ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่าการฟื้นฟูร่างกายจากสภาวะที่ถูกทำให้เป็นแก้ว หรือ Vitrification ซึ่งใช้ในกระบวนการไครโอนิกส์ แม้จะเป็นไปได้มากกว่าการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกแช่จนเป็นน้ำแข็ง ซึ่งทำให้เซลล์แตกจนไม่สามารถเยียวยาได้ แต่ก็เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้คนๆหนึ่งกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนธรรมดา โดยยังมีบุคลิกและความทรงจำเหมือนเดิม
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ไครโอนิกส์ยังถูกมองว่าทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายตามมา ไม่ต่างจากการโคลนนิ่งมนุษย์ ปัจจุบัน ประเทศส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ทำไครโอนิกส์กับศพ และประเทศที่อนุญาตก็ให้มีการทำไครโอนิกส์เฉพาะในคนที่เสียชีวิตแล้วตามกฎหมายเท่านั้น ทำให้หากมีนวัตกรรมในอนาคตที่จะทำให้คนที่ถูกทำไครโอนิกส์ฟื้นขึ้นมาได้จริง ก็ยากจะรู้ว่าพวกเขาจะมีสถานะอะไรตามกฎหมาย