นิ่วในถุงน้ำดี เป็นโรคที่มักพบได้บ่อยมากในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป และส่วนมากจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ถึงเเม้ว่าเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้ ก้อนนิ่วธรรมดาๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงจนทำให้เราต้องเสียเงินรักษาเพิ่มขึ้นอีกเยอะก็ได้
เราควรสังเกตุตัวเองบ้าง ว่าช่วงนี้มีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายหรือไม่ เช่น ช่วงนี้มักจะมีอาการท้องอืด แน่นท้องหลังจากทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันมาก ปวดท้องใต้ชายโครงขวาเป็นครั้งคราว ในบางครั้งก็ปวดร้าวไปถึงสะบักด้านขวา มีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลืองอย่างไร้สาเหตุ ปัสสาวะสีเข้ม หากถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน เราจะมีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวา ในบางรายจะมีไข้และอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย แต่สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ ในบางราย อาจจะไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้นเลย กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี อาการก็หนักมากขึ้นเรื่อยๆ เเล้ว
ผู้ที่มีน้ำหนักเยอะ น้ำหนักเกินมาตรฐานไปมาก มีโอกาสที่จะเกิดโรคนี้สูง เพราะการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลงจนทำให้เกิดนิ่วที่มีโคเลสเตอรอล (cholesterol) ได้ สาวๆ ที่ได้รับฮอร์โมนจาก เอสโตรเจน ไม่ว่าจะมาจากการทาน หรือเกิดจากการตั้งครรภ์ ก็ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงได้เช่นกัน ลองเช็คดูว่า ครอบครัวเรา ปู่ย่าตายาย มีใครที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อนบ้าง เเล้วไปตรวจกับคุณหมอเสียตั้งเเต่เนิ่นๆ เพราะพฤติกรรมของเราก็มีส่วนที่ทำให้ ( อาจ ) เกิดโรคนี้ เช่น ยาลดไขมันบางชนิด ก็สามารถทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงได้เช่นกัน และผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ เนื่องจากไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ในน้ำดีสูง
หากเกิดอาการดังกล่าวขึ้น ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด ห้ามซื้อยาตามอินเตอร์เน็ตมาทานเองเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่หายเเล้ว อาจจะทำให้อาการแย่ลงได้ ซึ่งในเบื้องต้นหากตรวจพบว่าเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี คุณหมอก็จะดำเนินการรักษาให้ โดยวิธีการรักษานิ่วในถุงน้ำดี ปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 วิธี คือ ผ่าตัดแบบส่องกล้อง และผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง แต่ที่นิยมที่สุด ก็คือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง เพราะแผลเล็ก เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
••••••••••••••••••••••
อย่างไรก็ตาม ควรหมั่นตรวจสุขภาพของตัวเอง อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติภายในร่างกายและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีค่ะ
เนื้อหาโดย Dodeden.com