หลังจากรู้ตัวว่าตนเองเป็นน้องต่างแม่ของ”ลินด์ซีย์ โลฮาน” ทาง”แอชลีย์ ฮอร์น”ก็ไปนอนใต้มีดหมอให้ทำศัลยกรรมถึง 5 จุดและโดนสื่อตีข่าวอย่างหนัก ล่าสุดเจ้าตัวร้องไห้ออกมาขอโทษพี่สาวต่างแม่แล้วที่กลายเป็นเครื่องมือถูก สื่อลากมาเกี่ยวด้วย
โดยก่อนหน้านี้ แอชลีย์ ฮอร์น วัย 18 ปี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร In Touch โดยกล่าวว่าตนเองดูเซ็กซี่กว่าลินด์ซีย์ พี่สาววัย 27 ปี พร้อมยกว่าตนเองไม่เหลวแหลกแบบพี่แน่นอน
แต่การออกรายการ The Trisha Goddard Show ทาง NBC เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา เจ้าตัวถึงขั้นร้องไห้ออกรายการเลยทีเดียว ระบุว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่สาวถูกสื่อลากมาสับเสียเละ
แอชลีย์ ได้ตกเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากก่อนหน้านี้จากการที่ออกมายืนยันว่าตน เองลงทุนทำศัลยกรรมไปถึง 25,000 เหรียญ ทำจมูกและฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ดูเหมือนลินด์ซีย์ ผู้เป็นพี่สาว
โดยในการออกทีวีครั้งนี้ แอชลีย์ ได้กล่าวขอโทษว่า “ไม่ ว่าพี่เห็นหรือไม่ ไม่ว่าพี่จะได้ดูสิ่งนี้หรือเปล่า ฉันก็อยากจะพูดว่า ฉันขอโทษจริงๆค่ะที่ปล่อยให้สื่อใช้ฉันลากพี่เข้ามาเกี่ยวด้วย”
“มันไม่ใช่ความตั้งใจของฉัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะจบลงแบบนี้ ฉันขอโทษจริงๆค่ะ”
2 เดือนก่อนหน้านี้ แอชลีย์ ได้กล่าวกับนิตยสารถึงการทำศัลยกรรมว่า “เป้าหมายของฉันคือดูเหมือนลินด์ซีย์ในวันที่รุ่งโรจน์ที่สุดคือตอนที่อายุ 18-19 ค่ะ ฉันดูเซ็กซี่กว่าลินด์ซีย์แน่นอนค่ะ! ฉันไม่มีปัญหาที่จะพูดแบบนี้เลย ฉันไม่ใช่ลินด์ซีย์ ฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงมาในครอบครัวนั้น ฉันไม่ดื่ม ไม่เล่นยา แล้วก็ไม่ชอบปาร์ตี้ด้วย ฉันอยากเป็นคนที่มีความรับผิดชอบค่ะ”
แอชลีย์ เป็นลูกที่เกิดกับ ไมเคิล โลฮาน และ คริสตี ฮอร์น ที่มีความสัมพันธ์กันเมื่อปี 1995 ขณะที่ไมเคิลยังแต่งงานอยู่กับไดนา แม่ของลินด์ซีย์ โดยหลังตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเรียบร้อยว่าเป็นพ่อลูกกันจริง ทางแอชลีย์ ก็ได้ออกเผยความรู้สึกว่า “ไม่ ไม่ ไม่ ฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโลฮาน”
ซึ่งหลังจากที่แอชลีย์ ลงนิตยสาร In Touch พร้อมเผยเรื่องราวที่เจ้าตัวไปทำศัลยกรรมเพื่อให้เหมือนลินด์ซีย์ ไมเคิล โลฮาน ก็รีบออกมาวิจารณ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีโดยระบุว่า “ทุเรศ บ้าชัดๆ” พร้อมเชื่อว่าคริสตีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำศัลยกรรมของลูกสาว
“ถ้าคริสตีคิดดีๆ มันอาจช่วยให้แอชลีย์สนิทใกล้ชิดกับลินด์ซีย์มากขึ้น ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันจะไม่เป็นแบบนี้ แบบนั้นมันมีแต่จะผลักเธอให้ห่างจากพี่สาวขึ้นไปอีก”
ขอบคุณที่มาข่าว www.manager.co.th