1. วิตามิน B2(Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม
2.แคลเซียม(Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ
3.วิตามิน C(Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินcมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidantในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
4. วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เ่ยวย่นก่อนวัยอันควร
1. คนที่เป็นโรคไต ไม่ควรจะกินค่ะ เนื่องจากคนที่เป็นโรคไต หรือว่ากำลังอยู่ในช่วงล้างไต ยิ่งไม่ควร เพราะการที่ลูกพรุน มีสารโพแทสเซียมสูงนี่ล่ะ ก็เลยเป็นปัญหาสำหรับคนที่เป็นโรคนี่ว
2. เพราะปัจจุบันมีการโฆษณาอย่างมากมาย ว่าลูกพรุนมีประโยชน์ อย่างนั้น อย่างนี้ จึงทำให้ลูกพรุน มีวางจำหน่ายในท้องตลาด เยอะแยะมากมายไปหมด และเพื่อให้สินค้าลูกพรุนของร้านตัวเองขายได้ ร้านค้าบางแห่ง จึงเพิ่มความหวานให้กับลูกพรุน โดยใช้น้ำตาล หรือสารให้ความหวานอื่นๆ โดยเฉพาะ โซเดียมไซคลาเมต
คนส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าอะไรกินแล้วดี มีประโยชน์ ก็อาจจะเห่อมากินอาหารชนิดนั้นมากๆ ตามกระแสสังคม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ ไม่ว่าจะอาหารชนิดใดก็แล้วแต่ ถ้ารับประทานมากเกินไป จากที่มีประโยชน์ ให้คุณค่ากับร่างกาย ก็จะกลับกลายเป็นสิ่งให้โทษได้เหมือนกัน ในกรณีของลูกพรุน ควรกินครั้งละประมาณ 15-30 ซีซี ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
Credit : lady108.com
