เนื้อหาโดย Dodeden.com
มีมี่ เทา หรืออดีตเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า พชรณัฏฐ โนบรรเทา ที่ปัจจุบันอายุ 22 ปี นางแบบชื่อดังบนรันเวย์ระดับโลก ถึงแม้ว่าวันนี้ชีวิตของเธอจะสวยงามมากเพียงไร แต่อดีตที่ผ่านมา ต้องบอกเลยว่า มีมี่ เป็นสาวประเภทสองที่สู้ชีวิตแบบสุดๆ กว่าที่จะประสบความสำเร็จได้ดั่งเช่นทุกวันนี้
เพราะอดีตของมีมี่นั้นเรียกได้ว่าดราม่าพอสมควรเลยทีเดียว เพราะสถานะทางครอบครัวประสบปัญหาทำให้มีหนี้สินติดตัวอยู่หลายล้าน ทำให้มีมี่ต้องตัดสินใจหันหน้าเข้าวัด บวชเป็นเณร เพื่อที่จะได้ศึกษาหาความรู้ และกินนอนอยู่ในวัด เพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด ถึงแม้ว่าจะมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนางแบบมากเพียงใด แต่สถานะตอนนั้น เธอต้องจำใจพึ่งวัดได้เพียงเท่านั้น
อีกทั้งครอบครัวต่างต้องระหกระเหิน ห่างไกลกันไป ต่างคนต่างเดินทางไปเพื่อทำงานใช้หนี้ โดยพ่อของมีมี่ต้องไปทำงานหนักอยู่ที่ประเทศลิเบีย ส่วนพี่สาวและน้องสาว ต่างก็เป็นคนเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยความที่เป็นผู้ชายคนเดียวของบ้าน เธอจึงเสียสละตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะไม่ต้องการสร้างภาระให้กับพ่อและแม่ของเธอเพิ่มขึ้นอีก
มีมี่ได้เล่าว่า อดีตตอนเธอเด็กๆ นั้น ที่บ้านลำบากมาก เพราะก่อนหน้านี้เธอเป็นคนมีฐานะ ที่บ้านทำฟาร์มขนาดใหญ่ แต่ด้วยเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ขาดทุน ที่บ้านเลยเอาบ้านไปจำนำจนเป็นหนี้หลายล้าน เธอจึงต้องบวชเรียนตั้งแต่ชั้นม.1 จนถึง ม.6 จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ดูทีวี แล้วได้เห็นเรื่องราวของนางแบบชื่อดังอย่าง ยุ้ย รจนา เพชรกันหา เธอจึงมีแรงบันดาลใจ และเอายุ้ย รจนาเป็นไอดอล โดยเธอมีความฝันว่าจะต้องเป็นนางแบบแบบพี่เขาให้ได้
หลังจากที่มีมี่สึกออกมา เธอก็ไม่รอช้า เริ่มทำตามความฝันทันที โดยเธอได้พยายามตามหายุ้ย รจนา และไปเรียนเดินแบบกับนางแบบชื่อดัง แต่เมื่อเธอเริ่มเดินแบบเป็น และเธอเป็นสาวประเภทสอง เป็นกระเทย อยู่ในไทยไม่มีงานให้เธอทำ เธอเลยตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าเธอจะต้องบินไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเอง และหางานทำเพื่อมีรายได้ให้ได้
แต่แล้วชีวิตเธอก็ประสบกับความยากลำบากอีกครั้ง เพราะเธอไม่มีเงินสักบาทตอนที่คิดจะไปประเทศสิงคโปร์ เธอได้โทรไปขอเงินกับคุณแม่ แต่ตอนนั้นที่ประเทศลิเบียก็เกิดมีสงคราม ทำให้คุณพ่อต้องเดินทางหนีกลับออกมา โดยที่ไม่ได้เงินเดือนติดตัวกลับมาสักบาท แม้แต่กระเป๋าเดินทาง สิ่งของเครื่องใช้ก็ไม่ได้กลับมา ซึ่งถือได้ว่ามีมี่ประสบกับปัญหาขาดเสาหลักทางการเงินอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ยังมองว่าเป็นเรื่องโชคดีที่คุณพ่อของเธอไม่ได้เป็นอะไร
มีมี่ เล่าต่ออีกว่า ตอนที่เธอบอกแม่เธอว่าเธอจะตัดสินใจจะบินไปหางานที่สิงคโปร์นั้น คุณแม่ก็พยายามรวบรวมเงินที่มี หาให้มี่อย่างเต็มที่ โดยที่แม่ของเธอได้เอาเงินทุนการศึกษาของน้องสาว มาให้มี่ไปก่อนเป็นจำนวนเงินกว่า 7,000 บาท เธอรู้ตัวดีว่าอย่างไรก็ไม่พอ แต่เธอก็บอกแม่ไปว่า เธอได้ตั๋วราคาถูก เพื่อที่จะได้ไม่เพิ่มภาระ และปัญหาให้แม่ของเธออีก เธอจึงได้ไปขอยืมเงินจากผู้ใหญ่คนหนึ่งอีกกว่า 6,000 บาท แต่กว่าจะได้เงินจำนวนนั้นมา เธอก็เล่าว่ายากเย็นไม่น้อย เพราะว่าต้องไปนั่งรอรับเงินเป็นจำนวนกว่า 12 ชั่วโมง แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ เพราะเธอไปขอยืมเงินเขานั่นเอง
พอเธอได้เงินมา เธอก็ตรงดิ่งไปที่สนามบิน เพื่อออกเดินทางทันที เพราะเธอหางานรองรับเอาไว้แล้ว และได้ศึกษาเส้นทางการเดินทางแบบประหยัดที่สุด โดยเธอมีตั้งความหวังว่า อย่างไรเธอก็จะต้องบินไปทำงานในวันพรุ่งนี้ที่เธอได้งานมาในเวลา 08.30 ให้ได้ เพราะเธอได้ใช้เงินที่ได้มาจากแม่ และเงินที่ขอยืมมา ซื้อตั๋วเครื่องบินจนหมด จนเหลือเงินติดตัวไปสิงคโปร์เพียง 1,100 บาท ซึ่งมันมีค่าน้อยมาก เมื่อไปถึงประเทศสิงคโปร์
แต่พอไปถึงทาง ตม. ก็ได้กักตัวและสอบถามเธออยู่เป็นเวลานาน เพราะเธออายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ อีกทั้งพาสปอร์ตคำนำหน้าเป็น Mister แต่ตอนนั้นร่างกายเธอเหมือนผู้หญิงแล้ว อีกทั้งยังมีเงินติดตัวไปน้อยมาก จนเธอต้องเอาพอร์ตโฟลิโอออกมาให้ทาง ตม. ประเทศสิงคโปร์ดูว่าเธอเป็นนางแบบ ป้าของเธอมารอรับที่หน้าสนามบิน เพื่อไปทำงาน เธอจึงไม่ได้นำเงินติดตัวมาเยอะ ซึ่งพูดคุยกันนานมากกว่าเขาจะยอมปล่อยตัวเธอเข้าประเทศ แต่นั่นก็เลยเวลางานที่เธอนัดหมายเอาไว้แล้ว
มีมี่ยังกล่าวอีกว่า เมื่อไปถึงที่นั่น หลังจากโดนปล่อยตัวจาก ตม. แล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะโทรศัพท์ก็ใช้ติดต่อไม่ได้ เธอเห็นมีบริการอินเตอร์เน็ตฟรีในสนามบิน เลยเข้าไปเช็คอีเมล์ ก็ปรากฎว่าโดนส่งอีเมล์มาต่อว่า ทำไมถึงไม่ตรงต่อเวลา และไม่เป็นมืออาชีพ อีกทั้งไปไม่ทันงานของเขา เขาเลยแคนเซิลงาน และที่พักโรงแรมทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกมืดแปดด้านมาก เพราะเงินติดตัวก็ไม่มี แถมยังไม่มีที่ไป
แต่นั้นก็ไม่ทำให้เธอท้อแท้ เพราะเธอได้พยายามใช้สติคิดหาทาง ที่ควรจะทำตัวต่อไปอย่างไรดี เพื่อให้อยู่รอดในประเทศสิงคโปร์ โดยเธอไม่มีความคิดที่จะกลับประเทศไทยเลยสักนิดเดียว จนเธอนึกขึ้นได้ว่า มีเพื่อนเป็นนายแบบคนหนึ่งเขาเคยบอกว่าแม่เขาอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ และเคยให้เบอร์ติดต่อแม่ของเขากับเธอมา เธอจึงตัดสินใจใช้เงินที่มีอยู่น้อยนิด ซื้อซิมโทรศัพท์ และน้ำเปล่ามาดื่มแก้หิว ซึ่งเธอก็พยายามโทรศัพท์ติดต่อแม่เพื่อนนายแบบคนนี้ และพยายามส่ง SMS บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ ซึ่งในขณะนั้นเธอง่วงนอนมาก เพราะไม่ได้พักผ่อนมาเลยตลอดสองวัน มีมี่จึงตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปนอนหลับในห้องน้ำสาธารณะ
ซึ่งในที่สุดเธอก็ได้รับการติดต่อกลับจากแม่ของเพื่อนนายแบบคนนั้น ตอนแรกคุณแม่ก็ไม่เชื่อเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะเป็นมิจฉาชีพ จนคุณแม่ของเธอได้มีการพูดคุยกับเพื่อนนายแบบของมีมี่ จึงได้เกิดความสงสาร และรีบบอกให้เธอนั่งรถไปหา โดยคุณแม่ของเพื่อนนายแบบคนนี้ดูแลเธอดีมาก แต่มีมี่ก็ไม่ได้หลงระเริงอยู่กับความสะดวกสบาย เพราะเธอวอร์คอิน เข้าหาโมเดลลิ่งนางแบบที่สิงคโปร์แทบจะทุกที่
จนเธอก็ประสบความสำเร็จ เมื่อมีโมเดลลิ่งหนึ่งชอบลุคของเธอที่สามารถเปลี่ยนลุคไปได้หลายแบบ ซึ่งเขาก็รับมีมี่เขาโมเดลลิ่ง และเธอก็ได้ย้ายออกไปอยู่กับเพื่อนๆ นางแบบ แต่แม่ของเพื่อนนายแบบคนนี้ก็ยังใจดี ได้ให้เงินไว้ใช้กับมีมี่ก่อนออกมา และยังบอกอีกว่าถ้ามีอะไรก็สามารถติดต่อคุณแม่ได้ตลอด ทำให้เธอซึ่งในน้ำใจ และคิดว่าถ้าไม่มีคุณแม่คนนี้ คงไม่มีนางแบบที่ชื่อ มีมี่ เทา เหมือนในทุกวันนี้อย่างแน่นอน
จากนั้นเธอก็เริ่มมีงานเดินแบบ ถ่ายแบบจากโมเดลลิ่ง และหางานเองบ้าง เพราะต้องการที่จะเก็บเงินส่งกลับไปให้ครอบครัวโดยเร็วที่สุด วันไหนที่ไม่มีงาน มีมี่ ก็จะรับจ๊อบเสริมเป็นพนักงานเสิร์พที่ร้านอาหารไทย เพื่อที่จะได้มีรายรับเยอะขึ้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังประสบปัญหาในการอยู่ประเทศสิงคโปร์นานๆ ไม่ได้ เพราะนางแบบทั่วไป โมเดลลิ่งจะสามารถออกใบ Work Permit ให้อยู่ในประเทศนานๆ ได้ แต่มีมี่มีคำนำหน้าว่า นาย และตามกฎหมายไทยผู้ชายจะต้องผ่านการเกณฑ์ทหารก่อนถึงจะออก work permit ไปทำงานต่างประเทศให้ได้ ทำให้เธอต้องบินไปๆ มาๆ ประเทศไทย และสิงคโปร์อยู่บ่อยครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม เธอไม่เคยยอมแพ้ และสู้ตายกับการทำตามความฝันของเธอมาตลอด
และนี่ก็เป็นเรื่องราวสุดลำเค็ญของ มีมี่ เทา สาวประเภทสองผู้ซึ่งพยายามทำตามความฝันจนเกือบประสบผลสำเร็จ ถึงแม้ว่าเส้นทางชีวิตอาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ และมีใจที่ฮึดสู้ เพื่อทำตามความฝัน และช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ และเธอไม่เคยรอโอกาสวิ่งเข้าหา แต่ตัดสินใจวิ่งเข้าหาโอกาสนั้นเอง จนตอนนี้ชื่อของนางแบบ มีมี่ เทา มีชื่อเสียงในประเทศสิงคโปร์ และมีงานวิ่งเข้าหาไม่แพ้นางแบบผู้หญิงแท้ๆ เลยล่ะค่ะ!!