หลังจาก แอร์-คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและอดีตกรรมการผู้จัดการนิตยสารอิมเมจ ได้โพสต์ภาพ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ในเฟซบุ๊ก ‘Kamron Pramoj’ พร้อมอ้างว่า ภาพดังกล่าวเป็นปกอิมเมจที่ต้องวางแผงในเดือนพฤษภาคม แต่ภายหลังกลับเปลี่ยนเป็นใช้ภาพแคทรียา อิงลิช ที่แต่แรกกำหนดไว้ว่าจะใช้สำหรับเดือนมิถุนายนแทน ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง โจ-วิโรจน์ วชิรเดชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทรีแดนซ์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นบริษัท อิมเมจ พับลิชชิ่ง จำกัด เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเจ้าตัวกล่าวว่า การทำธุรกิจทุกวันนี้เวลาทำปก ธีม หรือคอนเซ็ปต์หนังสือ โดยธรรมชาติต้องทำเผื่อไว้หลายอันอยู่แล้ว และการนำภาพแคทรียาลงปกฉบับเดือนพฤษภาคมก็เป็นมติของการทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและกองบรรณาธิการ
“ส่วนที่มีพนักงานบริษัทซึ่งลาออกไปแล้ว แล้วเอารูปภาพ รวมทั้งชื่อของหนังสือไปโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ถามผม พนักงานท่านนั้นไม่มีสิทธิ เพราะได้ลาออกไปแล้ว แล้ววันที่โพสต์ไม่ได้เป็นพนักงาน หรือผู้บริหารใดๆ ทั้งสิ้นของอิมเมจ การกระทำลักษณะนั้นแปลว่าเอาความลับบริษัทไปเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัท ณ ตอนนี้ผมขอสงวนสิทธิ์ ผมขอปรึกษาทางฝ่ายบริหารและทางทีมกฎหมายว่าเราจะทำการใดๆ กับพนักงานที่ออกไปแล้วและได้นำรูปภาพของตัวหนังสือไปใช้”
“คุณอย่าลืมว่าการถ่ายรูปนางแบบรูปใดๆ ทั้งสิ้นมันมีมูลค่าทางธุรกิจ มันไปต่อยอดทางธุรกิจทางแฟชั่นเซต หรือที่จะให้สินค้ามาลงโฆษณาคู่กับนางแบบต่างๆ ได้ การนำไปเผยแพร่เหมือนกับเอาความลับบริษัทไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมิได้รับคำยินยอมจากบริษัท ผมก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน เหมือนเรามีอะไรอยู่ในมืออยู่ เหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าทีมบริหารคุยกลางเดือนมีนาคม เพื่อพิมพ์เดือนพฤษภาคมเป็นเล่มสุดท้าย อันนี้เป็นแผนที่เราทำมาตั้งแต่ต้น เราวางแผนอยู่แล้วว่าเราไม่ได้หยุดทั้งหมด เรายังมีดิจิตอล ยังมีออนไลน์ เราเองก็ต้องเอาทรัพย์สินพวกนี้ไปลงออนไลน์หรือดิจิตอล ซึ่งเป็นแผนการโปรโมตหนังสือเราในอนาคต ตอนนี้มันก็เกิดความเสียหายแล้ว”
“ผมคิดว่าจะรอดูแป๊บหนึ่งว่ายังมีอะไรออกมาอีกไหม เราจะได้รวบรวมหลักฐานทีเดียวเลย เพราะปกติการที่เราหยุดสิ่งพิมพ์ชั่วคราว เราก็ดูแลพนักงาน พนักงานก็ยังทำงานให้เราดี ผมก็บอกแล้วว่าเวลาเราทำงานด้วยกัน ก็จากกันด้วยไมตรี ยิ้มด้วยความรู้สึกดีๆ แต่การกระทำครั้งนี้มันส่อให้เห็นว่ามีอดีตผู้บริหาร 1 ท่าน มีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมในการทำลายล้างธุรกิจ ผมก็คงสงวนสิทธิ์ว่าเก็บรวบรวมหลักฐานไว้ แล้วก็เดี๋ยวคงต้องมีแหละครับ อยากให้เขาปล่อยมาเรื่อยๆ จะได้ทีเดียวเลย จะได้ม้วนเดียวจบ ผมทำธุรกิจขี้เกียจไปฟ้องหลายรอบ มันมีตั้งแต่ละเมิด เผยแพร่ความลับ ไม่ได้รับอนุญาตใช้ ส่วนเรื่องราวที่โพสต์แล้วมันจริงไม่จริง หลักฐานเรามีหมด ถ่ายแบบคนไหน วันที่เท่าไหร่ มีกล้องไหนก่อน มันมีพยานหลักฐานเยอะแยะไปหมด ช่างภาพถ่ายคนไหนก่อน ถ่ายคนไหนหลัง การตกแต่งภาพคนไหนก่อน มันมีหมด ถ้าเอาเรื่องเอาราวจริงๆ มันมีหลักฐานหมด แต่ผมก็ไม่อยากเอาไป หน้าที่ผมหน้าที่หลักตอนนี้คือนำพาองค์กรให้ผ่านรอดธุรกิจอันนี้ได้ สิ่งสำคัญคือเราลดต้นทุน เพิ่มธุรกิจ เพิ่มช่องทาง เรื่องลักษณะแบบนี้เราขี้เกียจไปต่อความยาวสาวความยืด เพราะมันไม่ได้ทำให้ธุรกิจเราเจริญเติบโตเลย” วิโรจน์กล่าว
พร้อมกับบอกทิ้งท้ายว่า “การที่อดีตผู้บริหารมาทำเรื่องลักษณะแบบนี้ ผมสงวนสิทธิ์ไว้ว่าถ้ายังมีอีกแล้วรวบรวมเอาผิดไปเลย แต่ถ้าหยุดอาจเอามาพิจารณาอีกทีหนึ่ง”