ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์

ผวจ.นครศรีธรรมราช นำเหล็กไหลที่ได้จากการไปร่วมพิธี ‘ตัด’ ในถ้ำที่ จ.สุราษฎร์ธานี มาให้ อส.ทุบพิสูจน์พบว่า เป็นเพียงปรอทที่มาจากการเป่าแก้ว บอกไม่มีเจตนาจะมาลบหลู่ แต่ทำให้ดูจะได้เลิกงมงายกันเสียที…

NjpUs24nCQKx5e1D7Ic0h79sy61Ln67Bll6y0miDYHs

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ. นครศรีธรรมราช ได้นำวัตถุที่อ้างว่าเป็นเหล็กไหลและรัตนธาตุอื่นๆ รวม 4 ชิ้น ซึ่งได้มาจากการเข้าร่วมพิธีตัดเหล็กไหลที่ถ้ำแห่งหนึ่งใน อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี รวมทั้งที่มีคนนำมาฝากออกมาตรวจสอบ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าชิ้นแรกเป็นแท่งเหล็กสีเทารูปร่างคล้ายแคปซูลยาขนาดเท่าปากกา ยาวประมาณ 2 ซม. ชิ้นที่ 2 เป็นแท่งเหล็กขนาดเล็กเท่าเม็ดข้าวเปลือก ปลายทั้งสองข้างแหลมยาวประมาณ 1 ซม. ชิ้นที่ 3 เป็นแท่งเหล็กหรือตะกั่วขนาดเท่านิ้วชี้ยาวเกือบ 1 คืบ และชิ้นที่ 4 เป็นอัญมณีสีส้มขนาดเท่านิ้วก้อย ยาวประมาณ 1 ซม.โดยชิ้นสุดท้ายคนที่นำมามอบให้อ้างว่าเป็นรัตนธาตุอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ ล้ำค่า

EyWwB5WU57MYnKOuXueb1pX6VraJ8fBOnIVDpwp2f5mxJtHT3n45byเหล็กไหลและรัตนธาตุอื่นๆ รวม 4 ชิ้นที่ได้มาจากพิธี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นั่งดูเหล็กไหลและรัตนธาตุ ได้มีนายสกุล ดำรงเกียรติกุล นายอำเภอพระพรหม และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดอีกคนได้เข้าพบนายพีระศักดิ์ ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายพีระศักดิ์ จึงเชิญบุคคลทั้งหมดมานั่งร่วมโต๊ะร่วมพิจารณาเหล็กไหลและรัตนธาตุที่ได้มาด้วย

นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า มีคนหลายคนนำวัตถุเหล่านี้มาให้ตนบอกว่าเป็นเหล็กไหลและรัตนธาตุ โดยส่วนตัวแล้วตนไม่เชื่อว่าเป็นเหล็กไหล และรัตนธาตุล้ำค่า แต่ก็รับไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ จนเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีเพื่อนที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งอดีตข้าราชการระดับอธิบดี มาชักชวนไปร่วมพิธีตัดเหล็กไหล ซึ่งเป็นพิธีทางไสยศาสตร์โบราณภายในถ้ำแห่งหนึ่งใน อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี

ตนจึงไปร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย โดยในพิธีมีคนไปร่วมหลายสิบคน ซึ่งภายในถ้ำค่อนข้างมืดมีการส่องไฟฉายตรวจสอบภายในถ้ำเพื่อหาจุดที่จะทำพิธีเรียกเหล็กไหลแล้วใช้เวทมนตร์คาถาตัดเอามา หลังจากนั้นทีมงานของหมอไสยศาสตร์ได้ทำการขึงผ้าขาวสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง 100 X 100 ซม.

NjpUs24nCQKx5e1D7Ic0h79sy61Ln68UeIP0m7EicMjทุบพิสูจน์ให้เห็นจะจะ

“หมอไสยศาสตร์ได้เริ่มพิธีโดยนั่งบริกรรมคาถาเรียกและตัดเหล็กไหลอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งมีวัตถุไหลย้อยออกมาจากผนังถ้ำก่อนจะตกลงมาในผ้าขาวจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงลักษณะของเหลวที่ไหลย้อยออกมาแล้วจับตัวแข็งเป็นก้อน เป็นแท่งยาว หลายขนาดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ท่ามกลางความแตกตื่นฮือฮาของผู้ที่ร่วมอยู่ในพิธี

ในขณะที่ตัวเองรู้สึกเฉยๆ และพยายามสอดส่ายหาที่มาของวัตถุดังกล่าวว่ามันไหลออกจากจากผนังถ้ำได้อย่างไร แต่สังเกตได้ค่อนข้างยากเพราะภายในถ้ำที่ประกอบพิธีค่อนข้างมืด และไม่ได้แตกตื่นหรือสนใจว่าวัตถุดังกล่าวมันมาจากไหน มาได้อย่างไร แต่สนใจว่าวัตถุที่ไหลย้อยและหล่นลงมานั้นมันคืออะไรกันแน่

หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ทางหมอไสยศาสตร์ผู้ประกอบพิธีได้รวบรวมวัตถุทั้งหมดห่อผ้าขาว ก่อนจะนำออกมาแจกให้กับผู้ร่วมพิธีคนละ 1-2 ชิ้น ซึ่งก็ได้รับมาด้วย 1 ชิ้นเป็นแท่งยาวเกือบ 1 คืบ ก่อนพากันแยกย้ายกันเดินทางกลับ”

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวอีกว่า ตนไม่ได้ลบหลู่เหล็กไหลหรือรัตนธาตุว่าไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่มีคนนำมาฝากตนและที่ตนได้มาจากการร่วมในพิธีเรียกและตัดเหล็กไหลดังกล่าวนั้น ตนไม่เชื่อว่าเป็นเหล็กไหลจริงๆ แต่ก็ไม่ทราบว่าวัตถุดังกล่าวเป็นอะไรกันแน่ เท่าที่ดูด้วยตาเหมือนตะกั่ว

ส่วนรัตนธาตุก็คงเป็นแก้วธรรมดาที่เกิดจากการเป่าแก้วซึ่งทำได้ไม่ยาก วันนี้ตนจึงอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าในปัจจุบันยังมีกระบวนการหลอกลวงเรื่องการเรียกและตัดเหล็กไหลอยู่ในสังคมไทย ที่น่าตกใจคือมีข้าราชการและอดีตชั้นผู้ใหญ่หลงเชื่อการประกอบพิธีกรรมแหกตาดังกล่าวอยู่ไม่น้อย แล้วประชาชนทั่วไปจะไม่หลงเชื่อ หลงกลตกเป็นเครื่องมือได้อย่างไร

“วันนี้จึงท้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องเหล็กไหลและรัตนธาตุที่ตนได้มาทั้งหมด เพื่อให้พรรคพวกเพื่อนฝูง และประชาชนทั่วไปที่หลงเชื่อจะได้หูตาสว่างเสียที และเลิกหลงเชื่อพวกต้มตุ๋นหลอกลวงที่มีเพียงแค่วิธีการเล่นกลตบตา หลอกลวงชาวบ้านเท่านั้น ขอย้ำว่าไม่สนใจว่าวิธีการที่ได้มาจะแปลกพิสดารอย่างไร ขนาดไหน แต่สนใจเพียงอย่างเดียวว่า วัตถุที่ได้มาจากกรรมวิธีเล่นกลดังกล่าวมันคืออะไร” ผวจ. นครศรีธรรมราชกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพีระศักดิ์ ได้เรียกให้ อส. มาพบและส่งวัตถุเหล็กไหลและรัตนธาตุทั้ง 4 ชิ้นไปให้ อส.พิสูจน์โดยการใช้ค้อนทุบจนยุบแบน แตกหัก สรุปว่าชิ้นแรกที่อ้างว่าเป็นเหล็กไหลเป็นแค่แก้วหรือปรอทที่เกิดจากกระบวนการเป่าแก้ว ส่วนชิ้นที่ 2 และ 3 เป็นตะกั่ว และชิ้นที่ 4 เป็นแก้วจากการเป่าแก้ว ทั้งหมดไม่ได้เป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าตามที่มีการกล่าวอ้างกันแต่อย่างใด ซึ่งนายพีระศักดิ์ได้หัวเราะชอบใจ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า “เหล็กไหล รัตนชาติ หรือรัตนธาตุอะไรก็ไม่รู้ เรื่องอย่างนี้กินผมยาก”

เรื่องน่าสนใจ