ที่มา: dodeden

ผู้สื่อข่าวโดดเด่นดอทคอม รายงานว่า วันนี้ ( 14  สิงหาคม 2560 ) นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข  ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมาตรการดูแลปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี  ว่า  กรมสุขภาพจิตเน้นใช้นโยบายเชิงรุกดูแลเด็กกลุ่มวัยนี้ ซึ่งเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์  สังคม ติดเพื่อน

คาดว่าขณะนี้มีวัยรุ่นมีปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมในระดับผิดปกติซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเลี้ยงดู การปรับตัว ค่านิยมความเชื่อในการใช้ชีวิตต่างๆ ประมาณ 8 แสนคนจากจำนวนเด็กที่มีทั้งหมด ประมาณ 8 ล้านคนทั่วประเทศ

หัวใจสำคัญที่สุดคือการเร่งสกัดปัญหาไม่ให้ลุกลามรุนแรงบานปลายจนสายเกินแก้  ทำให้เด็กเสียอนาคต หรือ ก่อปัญหาสังคมตามมาเป็นต้น โดยในกลุ่มเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาซึ่งมีประมาณร้อยละ 90  ได้ใช้กลยุทธ์สร้างคู่เครือข่าย 1 โรงพยาบาล 1 โรงเรียนมัธยมหรือโอฮอส ( One Hospital One School : OHOS )  ให้ครูและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบูรณาการให้บริการดูแลเชื่อมต่อกัน

ขณะนี้มีทั้งหมด  977 คู่เครือข่ายครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ  ในส่วนของเด็กอีกประมาณร้อยละ 10 ที่อยู่นอกระบบการศึกษา ใช้กลไกตำบลจัดการสุขภาพ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอสม.ที่ผ่านการอบรมเป็นผู้ดำเนินการหลักในพื้นที่ทุกหมู่บ้าน ชุมชน  ซึ่งเด็กที่มีปัญหาจะได้รับการดูแลแก้ไขอย่างทันท่วงที

สำหรับคู่เครือข่ายโอฮอสนั้น กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาความรู้และทักษะการดูแลช่วยเหลือตามสภาพปัญหาที่พบ และ สนับสนุนชุดการตรวจคัดกรองหาเด็กที่มีพฤติกรรมและอารมณ์ผิดปกติที่นำไปสู่ความเสี่ยงก่อผลกระทบกับอนาคต 

ได้แก่เรื่องเพศ การตั้งครรภ์ ความรุนแรง และสารเสพติด  โดยจัดช่องทางด่วนบริการดูแลเด็กที่มีปัญหาแบบยืดหยุ่น 2 รูปแบบ คือการร่วมแก้ไขปัญหาเฉพาะรายระหว่างครูกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือที่เรียกว่าการทำเคสคอนเฟอร์เรนซ์ที่โรงเรียน ( Case Conference) และการส่งตรงไปที่คลินิกบริการวัยรุ่น ( Teen Center) ที่โรงพยาบาล

โดยไม่ต้องใช้บัตรคิวเหมือนผู้ป่วยทั่วไป  เป็นการรักษาความเป็นส่วนบุคคลให้เด็กด้วย   วิธีการนี้จะทำให้ครูรู้จักเด็กทุกคน สามารถจัดการดูแลได้อย่างเหมาะสม  ระหว่างเด็กปกติ เด็กที่มีพฤติกรรมล่อแหลมเสี่ยงจะเกิดปัญหา  และเด็กที่มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว   

“ผลดำเนินงานพบว่าได้ผลดี  ในรอบ 7 เดือนปีงบประมาณ 2560 นี้  พบเด็กมีปัญหารวม 13,424 คน หรือประมาณร้อยละ 3 ของเด็กที่ตรวจคัดกรองทั้งหมด   โดยจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มี 10,027 คน  ปัญหาที่พบอันดับ 1 คือการใช้สารเสพติดจำนวน 4,487 คน

โดยเฉพาะบุหรี่และใบกระท่อมซึ่งจะพบมากในแถบภาคใต้   การกระทำรุนแรง 1,947 คนมีทั้งจากครอบครัวและที่โรงเรียน  ปัญหาทางเพศอื่นๆ เช่นติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ 1,199 คน  และตั้งครรภ์ 395 คน 

ส่วนใหญ่ร้อยละ 87 ครูสามารถจัดการแก้ไขโดยการให้คำปรึกษาแนะนำได้   และที่เหลือส่งรักษาที่คลินิกวัยรุ่น  733 คน ส่งหน่วยงานอื่นเช่นพัฒนาสังคมจังหวัดร่วมดูแล730 คน   จุดเด่นของการทำงานในลักษณะนี้ ทำให้ทุกฝ่ายรวมทั้งผู้ปกครองเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น  เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันแก้ไขที่ต้นเหตุได้ดีกว่าต่างคนต่างทำ  เด็กได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที สามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้”  อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

ทางด้านแพทย์หญิงมธุรดา  สุวรรณโพธิ์  ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์  กทม.  กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันฯได้เพิ่มช่องทางปรึกษาวัยรุ่นรวมทั้งวัยอื่นๆ ทางข้อความหรือ ทางการแชทออนไลน์ ทางเฟสบุ๊คสายด่วนสุขภาพจิต  1323 

โดยจัดผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามช่วงเวลา 17.00 น.- 22.00 น.ทุกวันด้วย จากการติดตามประเมินผล ผู้ใช้บริการครึ่งครึ่ง เป็นวัยรุ่น วัยทำงาน  ประเด็นที่แช็ตถามมากที่สุดได้แก่ เรื่องความเครียดวิตกกังวลร้อยละ 66  รองลงมาคือปัญหาความรัก ปัญหาซึมเศร้า ร้อยละ 12  เท่ากัน  

นอกจากนี้สถาบันฯยังได้จัด ทำเกณฑ์การประเมินนักเรียนที่มีปัญหารุนแรงยุ่งยากซับซ้อน ที่จะต้องส่งตรวจรักษาโดยจิตแพทย์ ดังนี้  1.มีความคิดฆ่าตัวตาย พยายามหรือเคยลงมือฆ่าตัวตาย  2.มีอาการของโรคจิต ได้แก่หูแว่ว เห็นภาพหลอน หวาดระแวง มีความคิดผิดปกติรุนแรง

3.ตั้งครรภ์หรือมีแฟนมีคู่นอนหลายคน 4. ติดสารเสพติด ขายยาเสพติด 5.นักเรียนที่อารมณ์รุนแรง เช่นซึมเศร้า แยกตัว ก้าวร้าว  6.ถูกทารุณกรรมทั้งร่างกายจิตใจ หรือทางเพศ

7.นักเรียนที่ประสบเหตุการณ์รุนแรงในชีวิต เช่นอุบัติเหตุที่มีการสูญเสียรุนแรง และ8 เด็กที่มีปัญหาการเรียนรุนแรงเช่นหนีเรียน  เพื่อให้เด็กได้รับการเยียวยาที่เหมาะสมทันท่วงที   

เรื่องน่าสนใจ