นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในงานเสวนาวิชาการเรื่อง “ปฏิรูปภาษี ทำให้ดี มีแต่ได้” ซึ่งมูลนิธิสถาบันวิจัยพัฒนาภาษีอากรและศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้นที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า เร็วๆ นี้จะมีข่าวดีเกี่ยวกับการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ปัจจุบันมีเพดานจัดเก็บสูงสุด 35% แต่จะเป็นเท่าไรขอดูปัจจัยอื่นประกอบก่อนสรุปออกมาให้ชัดเจน รวมถึงจะปรับปรุงค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อนำมาหักลดหย่อน ให้สอดคล้องกับพิกัดที่ลดลง
การปรับลดเพดานภาษีดังกล่าวจะช่วยทำให้ฐานภาษีขยายเพิ่มมากขึ้น และน่าจะจูงใจให้คนเข้าระบบภาษีมากขึ้น และจะนำผลการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดจาก 30% เหลือ 20% มาเป็นกรณีศึกษาด้วย เพราะพบว่าหลังลดภาษีนิติบุคคลแล้ว ฐานภาษียังไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มลดลงด้วยจากตัวเลขบริษัทจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์และยังดำเนินกิจการอยู่ 6 แสนราย พบว่าเสียภาษีเพียง 3-4 แสนรายเท่านั้น
“ปัจจุบันไทยมีแรงงานอยู่ 30 ล้านคน แต่มีมายื่นแบบแสดงรายการภาษีเพียง 10.9 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ 6.4 แสนคน มีเงินได้สุทธิต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี มีเพียง 4 แสนคนเท่านั้นที่เสียภาษี ” นายสมชัยกล่าว และว่า การปฏิรูปภาษีถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กระทรวงการคลังจัดทำแนวทางการปฏิรูปภาษีให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 2558 เพื่อขับเคลื่อนให้ได้ภายในปี 2559
นายสมชัยกล่าวว่า การปฏิรูปภาษีทำได้ 2 แนวทางคือ ปฏิรูปเกี่ยวกับโครงสร้างภาษี และปฏิรูปเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ซึ่งในเรื่องหลังนี้นายอภิศักดิ์ ให้เร่งนำระบบบัญชีเดียวมาใช้กับนิติบุคคล และนำระบบอีเพลย์เมนต์มาใช้ในการซื้อขายสินค้าตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไปต้องเข้าระบบอีเพลย์เมนต์ เพื่อทำให้การหลบเลี่ยงภาษีลดลง คาดว่าช่วยทำให้รายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาทต่อปี โดยมีเป้าหมายว่าไทยจะเป็นประเทศที่ 2 ในโลกที่จะไม่ใช้เงินสดซื้อของ หลังจากสวีเดนประกาศยกเลิกการใช้เงินสดเป็นประเทศแรกไปแล้ว