สำหรับการออกกำลังกายต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพราะร่างกายถูกออกแบบมาให้มีการเคลื่อนไหว งานวิจัยพบว่ายิ่งระยะเวลาที่เรานั่งนานเท่าไหร่ อายุของเราก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน โรคเบาหวาน และความแก่ เช่น พนักงานออฟฟิศ ทุก 1 ชั่วโมง ควรมีการขยับร่างกาย หรือการเดิน 10,000 ก้าวต่อวัน สามารถทดแทนการวิ่งได้ 30 นาที ควรเน้นการออกกำลังกายให้มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน 30-60 นาทีต่อวัน หรือ 150-300 นาทีต่อสัปดาห์
การนอนพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเวลาเรานอนเป็นช่วงของการซ่อมแซมร่างกาย โกรทฮอร์โมน หรือฮอร์โมนของความเยาว์วัยจะหลั่งออกมา เป็นเวลาที่ร่างกายจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ในสมอง นอนตามหลักของธรรมชาติคือ 7-8 ชั่วโมง อย่านอนดึกหลังเที่ยงคืน ซึ่งก่อนนอนไม่ควรดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เพราะจะทำให้สารเมลาโทนินลดลง เวลานอนทำให้นอนหลับไม่สนิท ซึ่งก่อนนอนสิ่งที่ควรทำคือ อ่านหนังสือ สวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ และการนอนที่ดีควรนอนหงาย เพราะหากนอนตะแคงเป็นเวลานานร่างกายจะถูกกดทับทำให้ผิวหนังเกิดรอยกดทับและย่นได้ นอกจากนี้ควรมีอารมณ์ที่ดี ไม่เครียด เพราะความเครียดก็เป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่น ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเราได้
ด้าน ดร.แอนนี่ เลิศอัษฏมงคล(ทรัพย์เสริมศรี)อดีตนักแสดงและนักจิตวิทยาการให้คำปรึกษากล่าวเสริมว่า หากไม่อยากแก่ก่อนวัยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระดังนี้ กิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก เช่น ออกกำลังกายหักโหมจนเกิดอาการเหนื่อยหอบ อย่างการวิ่งมาราธอน ยกน้ำหนัก กินอาหารที่ทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานมาก เช่น ของทอด อาหารกลุ่มไขมันชนิดอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนที่ให้แคลอรีสูง หรือสิ่งที่มีอนุมูลอิสระสูง เช่น ของปิ้งย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงมลภาวะและสารเคมี นอกจากมลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เราหายใจเข้าไปแล้ว สารเคมีที่ปลอมปนอยู่ในอาหาร เช่น ยาฆ่าแมลง ผงชูรส สีสังเคราะห์ ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ส่วนแสงแดดที่เราต้องเจอทุกวันก็ส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนัง ซึ่งเป็นด่านแรกที่รับแสงนั่นเอง
ขณะที่ คุณภคพงศ์ วิเศษสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา เผยถึงเทคนิคการออกกำลังกายเพื่อชะลอวัยว่า ประโยชน์ของการออกกำลังกายช่วยชะลอวัยและการสูญเสียความทรงจำ แถมยังทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีสมาธิดีขึ้น เพียงแค่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมงก็ได้ โดยการออกกำลังกายภายใน 1 ครั้งจะต้องประกอบไปด้วยการออกกำลังกายในส่วนของคาร์ดิโอ หรือการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ การสร้างความแข็งแรงเฉพาะส่วนของกล้ามเนื้อและการสร้างสมดุลในการทรงตัว ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจดียิ่งขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น สมองจึงทำงานได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ ถ้ายิ่งทำเป็นประจำสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ จะทำให้ท่านกระฉับกระเฉง สดใสกระปรี้กระเปร่า ไม่แก่ตามวัย สุดท้ายก่อนที่จะเสร็จสิ้นการออกกำลังกายควรมีการยืดกล้ามเนื้อ เพื่อเป็นการผ่อนคลายหลังการออกกำลังกายและลดความเสี่ยงอาการเจ็บปวดที่จะได้รับจากการออกกำลังกาย
ท่าออกกำลังกายชะลอวัย Cardio exercise เพิ่มการเผาผลาญพัฒนาระบบการหายใจ และไหลเวียนเลือด
ท่า Arm swinging (แกว่งแขน) ยืนกางขา กว้างเท่าหัวไหล่ออกแรงแกว่งแขนไปด้านหลัง โดยบีบสะบักไว้แขนทำมุมประมาณ 60 บแล้วปล่อยแขนมาด้านหน้าทำมุมประมาณ 30 บ ทำต่อเนื่องอย่างน้อย 10 นาที
ท่า High knees (ยกเข่าสูงอยู่กับที่เลียนแบบการวิ่ง) ย่ำเท้าอยู่กับที่ยกเข่าสูง ต้นขาขนานกับพื้น สลับกันไปเรื่อย ทำต่อเนื่องอย่างน้อย 1-2 นาที
Body weight exercise #1 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกายส่วนล่างท่า back lunges (บริหารต้นขา) ยืนกางขากว้างเท่าสะโพก ยืดอกหลังตรงจากนั้นก้าวเท้าข้างหนึ่งไปด้านหลัง งอเข่า ย่อตัวลง และใช้ขาที่อยู่ด้านหน้าดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำ 10-20 ครั้ง ทั้งซ้าย-ขวา 3-5 รอบ
Body weight exercise #2 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกายส่วนบนท่า Triceps dip (บริหารต้นแขนด้านหลัง) วางมือไว้ที่เก้าอี้ เลื่อนตัวออกมาด้านหน้าให้ลำตัวอยู่ใกล้เก้าอี้ งอศอกลง เกร็งแขนออกแรงดันตัวขึ้น ทำ 10-15 ครั้ง 3-5 รอบ
Body weight exercise #3 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวท่า Crunch (บริหารหน้าท้อง) นอนหงาย ชันเข่า วางมือไว้ที่หน้าขาออกแรงยกตัวขึ้นเลื่อนมือไปแตะหัวเข่า โดยที่หลังส่วนล่างติดพื้น ทำ 15-20 ครั้ง 3-5 รอบ