ห้าวสุดโต่ง ฮาสุดขีด เลยถูกจริตของสาว มิ้นต์–ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง นางเอกสาวจากละครเรื่อง “สองหัวใจนี้…เพื่อเธอ” ทางช่อง 3 โคตรมาพบกับพระเอกหน้าละอ่อน มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นครั้งแรก แต่เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน ทำให้แฟนๆหัวเราะท้องแข็งตั้งแต่วันแรก ฮากระเจิดกระเจิงขนาดนี้ คว้าสาวฮอต ขวัญใจหนุ่มๆในกองละคร ขณะที่หัวใจยังอินเลิฟอยู่กับหนุ่ม ภูผา เตชะณรงค์ ทายาทโบนันซ่า เป็นรักแบบเรื่อยๆ แต่มั่นคง
กับละครเรื่องนี้สนุกสนานเฮฮาน่าดู
“สนุกค่ะ เป็นละครครบรส ได้ทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ มีอาชีพเป็นหน่วยกู้ภัย เป็นผู้หญิงห้าวๆ ตอนแรกหวั่นๆ เพราะเป็นคนกลัวเลือด แต่โชคดีได้พี่ใหญ่ ฝันดี เป็นหน่วยกู้ภัยจริงๆ มาสอนเรา ก็โดนพี่ชุดาภา (ผู้กำกับ) ดุบ่อยมาก เพราะแรกๆ เราไม่ละเอียดพอ ทำท่าไม่ค่อยถูกมันยากนะ เจอคนป่วยจะต้องสอดเปลยังไง เทคนิคเยอะมาก เพราะเราไม่สันทัดเรื่องนี้ แต่ต้องทำแบบเก่ง ต้องคล่อง แต่ทำออกมาไม่คล่องเท่าที่ควร”
เล่นเรื่องนี้สบายเลยได้วิชาปฐมพยาบาลเบื้องต้น
“พอได้ค่ะ แต่เป็นคนกลัวเลือดอยู่แล้ว เป็นคนเซ็นซิทีฟอาการบาดเจ็บ ความรุนแรงอะไรหนูไม่ชอบเลย ไม่ชอบอะไรที่เกิดกับการสูญเสีย ขนาดแมวไปทำหมันมีเลือดกลับมาหนูยังกลัว”
แสดงว่าอาชีพนอกจอหน่วยกู้ภัยห่างไกล
“ถามว่าอยากทำอาชีพนี้มั้ย อยากทำ คุยกับพี่ใหญ่วันไหนไม่รีบเราลองวิ่งรถดูไหม แต่ด้วยคิวแน่นมากเลยไม่ได้ไป แต่ใจจริงๆ อยากไปทดลองเกิดสถานการณ์จริงๆ เป็นยังไง พี่ใหญ่ก็เลยบอกไม่เป็นไรหลังปิดกล้องไว้ว่างๆ ค่อยลองเพราะทุกคนยังมีชุดกู้ภัย อย่างหนูมีชุดกู้ภัย ปักชื่อ เกวลิน เวลาใส่ภูมิใจรู้สึกเท่ รักและชื่นชมคนทำอาชีพนี้เป็นอะไรที่เสียสละเต็มๆ”
เล่นสองคาแรกเตอร์เลยทั้งพีเรียดและปัจจุบัน
“เรื่องนี้ได้เล่นพีเรียดเต็มๆ เรื่องแรกที่อยู่ในสมัย ร.5 ยากนะ กว่ายุคปัจจุบัน หนูไม่เคยดูแนวนี้ พอเล่นก็ไป ดูแม่พลอย สี่แผ่นดิน ที่พี่อุ้ม สิริยากร เล่น ต้องเล่นแบบนั้นเลย พีเรียดในเรื่องมี 10% พอเป็นผู้หญิงสมัยก่อนต้องเดินเรียบร้อย แต่หนูเดินแต่ละทีแผ่นดินแทบสลาย เป็นคนทำอะไรไวมาก แล้วเวลาหนูอยู่กับพี่กัน ผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งพี่กันเป็นคนที่ทำอะไรช้ามา บางทีหนูแก้ผ้าเสร็จแล้วพี่กันยังเดินเข้าห้องน้ำไม่ถึงเลย พอเราต้องพูดช้าๆ ยังยากเลย แม้แต่เชยตามองพระเอกต้อง 5 วินาที ถึงเชยตามองได้ มองเยอะไม่ได้ก็หาว่าแรดอีก เป็นสิ่งที่แย่ที่สุด ในเรื่องแล้ว นั่งทีผ้าสไบยับต้องถอดมารีดใหม่ตลอด กลายเป็นมิ้นต์ สไบยับ”
กลุ้มใจในความไม่เรียบร้อยในตัวตนบ้างมั้ย
“ กลุ้มใจนะคะ มัน ยากนะมันไม่ได้ง่าย อยากทำออกมาให้มันดี ถ่ายแค่ 4 วัน คิดว่าเท่านี้น่าจะพอแล้วแหละ (หัวเราะ) แค่ถือดอกกุหลาบดอกเดียว ต้องเปลี่ยน 3 รอบ เพราะหนูทำดอกไม้พัง”
ร่วมงานกับมาริโอ้เป็นยังไงบ้าง
“ดีค่ะ เข้าขากันไวมาก เป็นการทำงานเรื่องแรก สนิทสนมจากการแกล้งกันไปมา ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน ด้วยความเป็นมาริโอ้เราจะคิดเค้าจะถือตัวนิดๆ พระเอกเงียบๆ โลกส่วนตัวสูง พอรู้จักกันจริงๆ เป็นคนขี้แกล้ง ตลก”
ก่อนหน้านี้มิ้นต์มีข่าวป๊อปในหมู่ผู้ชาย
“ป๊อปแบบโดนแกล้ง ไม่ได้ป๊อปแบบมีคนมาจีบเข้าใจมั้ยทุกคนรุมกันแกล้ง ทั้งพี่โอ้ พี่ใหญ่ ฝันดี พี่ฟรอยด์ ฯลฯ กองนี้แกล้งกันไม่มีการโกรธจริง รู้ว่าทุกคนเล่น เพราะเอ็นดูกันรุ่นๆเดียวกัน ยกเว้นพี่ใหญ่ เค้าชอบลดวัยยังคิดว่าเป็นนักร้องตลอดเวลา (แอบเม้าท์) เวลาอยู่กองพี่เค้าเป็นคนตลกมาก แล้วลูกพี่ใหญ่ เป็นเพื่อนกับน้องของมิ้นท์ทั้งสองคนเลย น้องมาถาม พี่มิ้นต์ๆ เป็นเพื่อนกับพี่ใหญ่เหรอ เค้าเป็นพ่อเพื่อนหนู นับรุ่นไม่ถูก ประหลาดๆ นิดนึง”
ต่างคนก็ขี้เล่นเวลากุ๊กกิ๊กจิกหมอนจะยังไงกันเนี่ย
“ลำบากมาก เพราะคู่เราเป็นคู่ส้มตำปลาร้า หนูจะเป็นฝ่ายตามล่าหาส้มตำ พี่โอ้จะเป็นฝ่ายสบายๆ เวลาเข้าฉากเราก็จะไม่ว่ากัน กลิ่นรุนแรงทั้งคู่แล้วแจกลูกอมคนละเม็ด แล้วเลิฟซีนเรื่องนี้ของหนูกับพี่โอ้ค่อนข้างยากสักพัก เพราะเวลาหอมพี่โอ้จมูกไปชนก็จะกระเด้งกลับ พี่ชุก็จะถามทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”
ก่อนหน้านี้มีข่าวดราม่า เรื่องถ่ายปฏิทินกับ 3 สาว มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ บ้างหรือยัง
“ไม่ได้คุยเลย ไม่ได้ซีเรียส งานบางงานอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้”
มีคนคิดเรามีปัญหากัน
“เชื่อว่าทุกคนมีสปิริตในความเป็นนักแสดงทำงานได้ เป็นงาน ผลงาน ทำงานได้ตังค์ คิดแค่นี้”
คนโฟกัสมิตรภาพของสี่สาวทำให้เรากดดันกับการใช้ชีวิต
“ไม่กดดันนะคะ มันเป็นเรื่องธรรมดา เข้าใจคนที่มองเกิดจากการที่เราไม่ได้เจอกันจริงๆ ไม่ได้มีภาพ ไม่ได้สนิทสนมเท่าเดิมจริงมั้ย? จริง เพราะแต่ละคนมีงาน ไม่มีเวลาเจอกัน”
กับมาร์กี้เองได้มีการพูดคุย
“มีคุยกัน ชวนออกกำลังกายตลอด แต่ช่วงนี้หนูมีละครพอดี ไม่ได้หลีกเลี่ยง ถ้าเจอกันจะถ่ายรูปอัพไอจีให้ดูกันเลย หนูว่าทุกคนต้องการแค่นี้แหละ ทุกคนอยากเห็นมิตรภาพดีๆ แต่บางอย่างเราไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เราไม่สามารถบังคับให้เค้ามาชอบเรา ให้เค้ามารักเราหรือความรู้สึกดีๆ ให้กันเหมือนเดิม พูดตรงๆ ก็คงยาก”
อาการปอดแหกตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“ยังแหกอยู่ค่ะ ตอนนี้เลย วันก่อนแม่สะอึกหนูก็สอนแม่หายใจ แม่ต้องหายใจให้ลึกที่สุดแล้วกลั้น พอเราหายใจไปแล้วรู้สึกมันฉึก เป็นโรคที่คุณหมอบอก มันไม่หายจนกว่าเราไปเย็บเลยคิดว่าคงไปเอกซเรย์อีกรอบ ไม่สามารถหายใจได้สุดปอด หายใจแล้วมันเจ็บ อย่างล่าสุดไปเรียนร้องเพลง ครูบอกทำไมมิ้นต์หายใจแค่นี้ล่ะ หายใจให้เต็มปอดไม่ได้มันเจ็บ แล้วเป็นคนกระโดกระเดกไม่ระวัง มีพี่กัน อย่าทำเดี๋ยวปอดฉีก แต่ชอบลืมตัว”
ตอนนี้ละครปิดกล้องไปแล้วทำให้มีเวลาเจอกันมากขึ้น
“เค้าไม่ค่อยว่างไปแคมโบเดีย เค้าบินตลอดเพราะตอนนี้ทำงานอยู่ตลาดหุ้น เค้าจะทำอะไรสักอย่างเป็นผู้ชายโปรเจกต์เยอะมาก ทุกคนเยอะ กันจะถามว่าพี่ผาทำไมทั้งขาวและผอมแต่มิ้นต์ดำ เค้าทำงานในออฟฟิศแต่หนูทำงานกลางแดดแล้วทุกคนชอบพูดให้หนูนอยด์ พอเค้าได้ยินใครชมว่าขาว หน้าใสจะตัวยืดในทันทีประหนึ่งเป็น ณเดชน์ (หัวเราะ)”
เวลาเค้าไปต่างประเทศถือโอกาสชวนมิ้นต์ไปเที่ยวพักผ่อน
“ไม่มีเลย เค้าไปกับนาย ไปทำงาน บางทีไปลืมเปิดโรมมิ่ง บ้างใช้อินเตอร์เน็ตตามร้านอาหาร ไปแบบปุ๊บปั๊บ”
งอนมั้ย
“ไม่ค่ะเพราะไม่มีเวลาคุยอยู่ดี คู่เราจะเป็นคู่ที่เรียบง่าย เพราะเรารู้ว่าทุกคนต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเองก่อนเลยไม่ซีเรียสกับเรื่องพวกนี้”
เติมความหวานให้กันและกัน
“มีอะไรก็นึกถึงกัน ซื้อของมาฝาก เค้ารู้เราปอดฉีกเค้าก็จะคอยเตือนประหนึ่งเป็นแม่ คอยด่าตลอด หนูไปครอบแก้ว เพราะมีปัญหาเรื่องนอนผิดท่า ทำให้ปวดคอ เสียบุคลิก เค้าจะคอยเตือนตลอดเวลาว่าหยุดเล่นมั้ย โทรศัพท์ไม่ต้องไปแตะมัน”
เห็นภูผาชอบแฉเราติดมือถือหนักมาก
“เป็นคนที่เห็นแมสเสจใครไม่ได้จะต้องเปิดไปอ่าน อีกอย่างที่ปวดคอเพราะชอบก้มเล่นโทรศัพท์ สังคมก้มหน้า เป็นเรื่องที่เค้าดุเหมือนแม่ แม่ก็ดุเรื่องนี้ พอโดนบ่นมากๆ หนูชอบเปลี่ยนเรื่องเลย (หัวเราะ)”