การรักษาฝ้าส่วนใหญ่ใช้ยาทาให้ฝ้าจางลง ซึ่งมีทั้งยาที่ผ่านการศึกษาและนำมาใช้กันแพร่หลาย และยาทากลุ่มใหม่ที่กำลังวิจัยและทดลองใช้
ยาทารักษาฝ้า
ยาทารักษาฝ้าที่ใช้กันแพร่หลาย ได้แก่
เป็นยาทาฝ้ากลุ่มยาลดการสร้างเม็ดสี เป็นยารักษาฝ้าที่ใช้บ่อยที่สุด ทำให้สีผิวจางลงชั่วคราว มีอยู่ทั้งในรูปครีม และในรูปสารละลายในแอลกอฮอล์ ใช้ทาฝ้าบางๆ วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งการใช้ยาตัวนี้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น
สำหรับสตรีมีครรภ์ยังไม่มีการยืนยันความปลอดภัย ของการใช้ยาไฮโดรควิโนน
ขณะนี้ประเทศไทยถือว่าไฮโดรควิโนนทุกระดับความเข้มข้นจัดเป็นยา ต้องให้แพทย์สั่งจ่ายเท่านั้น อีกทั้งมีการเพิ่มประสิทธิภาพของยาโดยมียาทาฝ้าสูตรผสมที่เพิ่มกรดวิตามินเอ และสเตียรอยด์ลงไป
ข้อควรระวัง ก่อนใช้ยาอาจทดสอบโดยทาผิวที่ไม่มีรอยแตก หากเกิดอาการคัน มีตุ่มน้ำใส และ/หรือผิวอักเสบแดง ไม่ควรใช้ยา การทายาทุกครั้งต้องระวังไม่ให้สัมผัสนัยน์ตา นั่นคือให้ใช้เฉพาะใบหน้า คอ มือ หรือแขน
ห้ามใช้ยาเพื่อป้องกันผิวไหม้แดด มีบางราย (พบน้อย) ฝ้าอาจเข้มขึ้นเป็นสีดำและน้ำเงิน ก็ให้หยุดยาทันทีเช่นกัน ผลแทรกซ้อนของยาทาฝ้าตัวนี้คือทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัส ปฏิกิริยาแพ้แสงแดด ที่อาจมีผื่นผิวหนังเป็นรอยดำหลังการอักเสบตามมา และที่พบได้ยากคือฝ้าถาวร ซึ่งพบในคนดำที่ใช้ยาความเข้มข้นสูงทาต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
การใช้ยาทาฝ้าสูตรนี้ติดต่อกันนาน 4-6 เดือน ถ้า ฝ้าไม่จางลงให้หยุดทายาทันที ห้ามใช้ยาที่มีส่วนผสมของ monobenzyl ether of hydroquinone และ monomethyl ether of hydroquinone เพราะทำให้เกิดรอยด่างถาวร
นอกจากนั้นห้ามใช้สารปรอทแอมโมเนียรักษาฝ้า สารเหล่านี้มักตรวจพบในเครื่องสำอางปลอม พิษสะสมทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง และเกิดพิษสะสมของปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบ
ออกฤทธิ์โดยการเปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ผิวหนัง เร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่มีเม็ดสีเมลานินหลุดลอก การใช้ในสตรีมีครรภ์ยังไม่ยืนยันความปลอดภัย
ยาทาฝ้ากลุ่มสารปฏิชีวนะ แรกเริ่มสังเคราะห์จากเชื้อยีสต์ การใช้ให้ทาบางๆ วันละ 2 ครั้ง การใช้ในสตรีมีครรภ์ทั่วไปจัดว่าน่าจะปลอดภัย
ยาตัวนี้ทำให้ฝ้าจางได้โดยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน แต่ถ้าใช้นานๆ ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ผิวบาง หลอดเลือดฝอยขยาย เป็นสิว และขนใบหน้าดก
ยาทารักษาฝ้ากลุ่มใหม่ๆ
ปัจจุบันมีการพัฒนายาและเทคนิคเสริมใหม่ๆ เพื่อใช้รักษาฝ้า เช่น กรดโคจิก วิตามินซี สารสกัดชะเอมเทศ และเทคนิคเสริมในการรักษาฝ้า ซึ่งยาและเทคนิคเสริมใหม่ๆ เหล่านี้ บางอย่างผลการรักษาคงต้องติดตาม (อ่านรายละเอียดตอนที่ 3 ฉบับหน้า)
กลับไป ข้างบน
สุขศึกษาที่ผู้เป็นฝ้าควรรู้
สตรีมีครรภ์ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาฝ้า เพราะส่วนใหญ่หลังคลอดฝ้าจะจางลงเอง อีกทั้งยารักษาฝ้าหลายตัวยังไม่ปลอดภัย หรือไม่ระบุความปลอดภัยหากใช้ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร