ยาเลื่อนประจำเดือน มีหลักการเลือกใช้อย่างไร มีอันตราย หรือข้อควรระวังอะไรบ้าง? เพราะหนึ่งในปัญหากังวลใจของคุณผู้หญิง คือปัญหาการมีประจําเดือนในช่วงเวลาที่ ไม่ต้องการให้มี ทําให้เลือกที่จะพึ่งพาตัวช่วย คือยาเลื่อนประจําเดือน ซึ่งมีขายในร้านยาหลายชนิด อาจทําให้สงสัยว่า มีหลักการเลือกใช้อย่างไร มีข้อควรระวังอะไรบ้าง

ยาเลื่อนประจำเดือน ควรใช้อย่างไร ?

ในภาวะปกติในช่วงก่อนมีประจําเดือน ฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกายที่ชื่อ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) จะค่อยๆ ลดระดับลง ทําให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจําเดือน ยาเลื่อนประจําเดือน เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในรูปแบบยาทาน ที่จะช่วยให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายไม่ลดลง จึงสามารถเลื่อนระยะเวลาของการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกออกไป ส่งผลให้มีรอบเดือนช้าลงตามช่วงเวลาที่ทานยา

ยาเลื่อนประจําเดือนที่นิยมใช้กัน คือตัวยานอร์เอทสเตอโรน (Norethisterone) ขนาด 5 มิลลิกรัม มีชื่อการค้าที่นิยมใช้กัน คือ Primolut-N หรือพรีโมลุท-เอ็น โดยตัวยาสําคัญนี้ มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน มีผลทําให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมาเป็นประจําเดือน จนกว่าจะหยุดใช้ยา

ยาเลื่อนประจำเดือน
ภาพจาก info hub

ยานี้มีข้อบ่งใช้ในการรักษาความผิดปกติของรอบเดือนหลายชนิด เช่น กลุ่มอาการก่อนมีประจําเดือน หรือเรียกย่อๆ พี เอ็ม เอส (premenstrual syndrome: PMS) ซึ่งมักมีอาการปวดศีรษะ หรืออารมณ์หงุดหงิดก่อนมีประจําเดือน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังใช้รักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) และมีข้อบ่งใช้ในการเลื่อนประจําเดือนด้วย อย่างไรก็ตาม การทานยาชนิดนี้ ต้องคํานึงถึงหลายปัจจัย โดยตัวยานอร์เอที่สเตอโรน มีข้อห้ามใช้ยานี้ในคน 7 กลุ่ม ต่อไปนี้

  • สตรีกําลังตั้งครรภ์
    โดยเฉพาะคนที่มีอายุครรภ์ 1 เดือนครึ่งเป็นต้นไป การใช้ยาเลื่อนประจําเดือนขณะตั้งครรภ์ จะส่งผลให้โครโมโซมของทารกในครรภ์ผิดปกติ เนื่องจากฤทธิ์ยาจะไปขัดขวางพัฒนาการของอวัยวะเพศภายนอก อาจทําให้พิการ หรือแท้งได้
  • สตรีกําลังให้นมลูกด้วยน้ำนมตัวเอง
    เนื่องจากยาสามารถปนออกมากับน้ำนมของแม่ จึงอาจมีผลกระทบต่อเด็กได้

  • มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน
    ได้แก่ สูบบุหรี่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
  • มีประวัติ หรือกําลังเป็นโรคตับขั้นรุนแรง
    เนื่องจากยาถูกกําจัดที่ตับ หากตับทํางานไม่ดี อาจทําให้ยาสะสมในร่างกาย
  • มีประวัติ หรือกําลังเป็นมะเร็งเต้านม
    หรือมะเร็งอื่นๆ ที่ไวต่อฮอร์โมน
  • มีประวัติ หรือแพ้ตัวยานอร์เอที่สเตอโรน
    เช่น กินแล้วมีผื่นขึ้น เป็นต้น
  • มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า
    หรือกําลังเป็นโรคซึมเศร้า

 

การใช้ยาเลื่อนประจําเดือน ควรเริ่มทานอย่างน้อย 3 วัน ก่อนวันที่คาดว่าจะมีประจําเดือน ควรทานตามขนาดที่แพทย์ หรือเภสัชกรแนะนํา ทั้งนี้ ไม่ควรใช้ยานานเกิน 2 สัปดาห์ ในกรณีที่ต้องการเลื่อนประจําเดือนมากกว่า 14 วัน หรือนานกว่านั้น ควรเลือกใช้ยาคุมกําเนิดชนิดฮอร์โมนสูตรผสม ที่มีทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งจะรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายได้ใกล้เคียงกับรอบเดือนปกติมากกว่า

สําหรับอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้จากยานอร์เอทสเตอโรน (Norethisterone) คือ ประจําเดือนผิดปกติ เช่น รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจําเดือนมาถี่แต่มาแบบกะปริบกะปรอย หรือบางรายอาจประจําเดือนไม่มาเลย หากหยุดใช้ยาเกิน 1 สัปดาห์แล้วประจําเดือนยังไม่มา ควรตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนใช้ยานี้ นอกจากนี้ อาการอื่นที่อาจพบได้แก่ ปวดศีรษะ คัดเต้านม คลื่นไส้ และเวียนศีรษะ เป็นต้น

……………………………………………………………………

ดังนั้น จึงไม่ควรใช้ยาเลื่อนประจําเดือนบ่อยๆ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ว่ามีความจําเป็นต้องใช้จริงๆ และต้องใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อไม่ให้ เกิดผลเสียจากการใช้ยานี้

 

เนื้อหาโดย Dodeden.com

เรื่องน่าสนใจ