ทำเอาแฟนๆตกใจนึกว่า รอน ภัทรภณ จะหันหลังให้กับวงการบันเทิงซะแล้ว เมื่อเห็นเจ้าตัวไปมุ่งมั่นเอาดีทางโยคะถึงขั้นเป็น ครูสอน ไปเป็นที่เรียบร้อย งานนี้ หนุ่มรอน ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ยืนยันเสียงหนักว่ายังรับงานในวงการบันเทิงเหมือนเดิม แต่ โยคะ ก็คือ ส่วนสำคัญในชีวิตอีกหนึ่งอย่าง พร้อมเผยถึงเรื่องหัวใจที่ทำไมปิดประตูเงียบไม่ยอมมีใครมาดูแลสักทีก็เพราะเหตุผลนี้
ถาม โยคะ คือ สอนตามบ้านด้วยหรือเปล่า หรือสอนที่ไหนบ้าง
รอน ภัทรภณ : คือ ของ รอน ที่ผ่านมาผมสอนผ่านตามสตูดิโอครับ คนเห็นเราสอนตามสตูดิโอก็มาติดต่อให้เราไปสอนที่บ้านเพราะว่าหลักๆเรายังทำงานในวงการบันเทิงอยู่บางทีไปตามบ้านบางทีเราไม่รู้จักเนอะ แต่ก็มีพี่ๆน้องๆดารามาฝึกที่บ้านอยู่เหมือนกัน คือ เราเป็นบ้านที่อยู่อาศัยที่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยบางทีช่วงโควิดเราก็จะแบบว่าเราไม่อยากให้คนมาเยอะเกินไปเราเลยไม่ได้คิดถึงเรื่องตรงนี้เท่าไหร่
ถาม ในส่วนของวงการบันเทิงมีผู้ใหญ่ใจดียื่นอะไรมาให้เราทำหลากหลายมาก ต้องได้เรียกได้ว่าได้รับความเอ็นดูมาก
รอน ภัทรภณ : ใช่ครับ คือ ผมจะบอกก่อนว่าตั้งแต่ที่ผมเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงใช่ไหมครับ ตอนนั้นผมประกวดรายการ AF ซีซั่นที่ 5 ตอนนั้นผมอายุ 18 ครับ อายุน้อยสุดเลยตอนนั้นผมจำได้ว่าเพิ่งกลับมาจากเขาชนไก่ ตัดผมทรงรด. มาเลยมีการเต้นการแสดงคือ เราไม่เคยเรียนเลยแต่เรารู้สึกว่าเราชอบ เราก็เลยไปออดิชันก็โชคดีมากที่ได้เข้ารอบไป พอติดเข้าไปในรายการแล้วพอจบออกมาผมไม่ได้คิดนะว่าเราจะเป็นนักแสดงเป็นอะไรที่ไกลตัวผมที่สุดเลย เรารู้แค่ว่าจะไปร้องเพลงบนเวทีเราอยากจะเรียนเต้น เรียนแอคติ้งไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนเก่งแต่เรารู้ว่าเราชอบทำอันนี้ ทุกคนก็บอกว่าเราจะทำอันนี้ได้นะแล้วผมก็ได้โอกาสเยอะแยะมากมาย แล้วชีวิตของผมก็พลิกเลยเพราะตอนนั้นผมจบม.6 แล้วบ้านผมมีวิกฤตตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจแตกฟองสบู่ก็คือ บ้านโดนยึดโดนโน้นนี่ มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ค่อนข้างจะลำบากประมาณหนึ่ง แต่คุณแม่เลี้ยงผมมาผมไม่เคยคิดว่ามันลำบาก แต่ความเป็นอยู่ลำบากประมาณหนึ่งแม่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดเลย แล้วผมกับน้องเช่าห้องอยู่พอจบมอ.6 ติด AF แล้วชีวิตพลิกเลยแล้วผมออกมาจากบ้านผมเป็นนักร้องก่อน ผู้ใหญ่คนแรกที่ให้โอกาสผมเลยนะครับ คือ หน่อง อรุโณชา พี่หน่อง คือ ให้เซ็นสสัญญาเลยครับ แล้วก็ให้เราเล่นซีรีส์ น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ แล้วหลังจากนั้นคนก็เริ่มเห็นผมมากขึ้นจากการเล่นน้องใหม่ แล้วผมก็ได้เล่นละครที่เป็นละครเวทีเพราะผมร้องได้ เราแสดงได้ เราเต้นได้ คือการทำจริงเป็นสิ่งที่โชคดีของผมเพราะพอเราทำจริงเราก็พัฒนาตัวเองเราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เรารักเราได้ทำเราได้เงินดูแลครอบครัว คือ เมื่อก่อนผมตัวเล็กมากผอมมาก ผมสูง 180 แต่หนักแค่ 50 เองผอมมากคือ เราเป็นเด็กเราก็เห็นก็มองว่าเด็กที่ออกมาจากบ้านมีงานกันเราก็อยากมีงานบ้าง ผมก็มานั่งหาเลยนะครับ ว่าปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้เราทำโอกาสเข้าไปทำงานตรงนั้น เราก็ฟิตตัวเองเลยการเป็นนักแสดงเลยคือ วินัยในการทำงาน การตรงต่อเวลา เพราะผมรู้ว่าโอกาสมาแล้ว เราก็เข้าฟิตเนสเลย ผมกินข้าวจนผมร้องไห้เพราะว่าผมต้องตื่นมากินอาหารให้ตรงต่อเวลาเราก็ออกกำลังน้ำหนักก็ขึ้นมา 25 กิโล งานก็เลยเริ่มเข้ามาเรามีความสุขมากเลยครับ แต่สุดท้านมีช่วงหนึ่งที่เราทำงานหนักมากช่วงนั้นอายุประมาณ 24-25 แล้วเราถ่ายบางระจัน เราต้องขับรถไปที่ กาญจนบุรี แล้วเราต้องเรียนขี่ม้า ฟันดาบ แล้วมีละครเวทีอีก แล้วมีวันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมาแล้วเราขยับตัวฉีกซ้ายไม่ได้เพราะว่าเราใช้ร่างกายหนักเกินไป สาเหตุเพราะว่าเราซ้อมหนัก ทั้งฟันดาบ ซ้อมเต้น เราต้องขี่ม้าด้วยช่วงนั้นเราบอกกับตัวเองเลยว่าที่ผ่านมาเราแก้ปัญหาปลายเหตุหมดเราไปนวด เราไปหาหมอ แล้วคือเราออกกำลังกายเรามีรูปร่างที่ดีกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่ไม่มีความยืดหยุ่น แล้วเราอยากมีชีวิตที่ดี แล้วทำงานไปเรื่อยๆเราก็เลยเรียนโยคะครับ
ถาม แต่เรียนโยคะ คือ พอเข้าใจ แต่มาถึงกับว่าเป็นครูสอนเลยคือ ยังไง
รอน ภัทรภณ : คือตอนแรกผมเดินเข้าไปเรียนเลยครับ ผมเขินมากเพราะว่าถ้าย้อนไปเมื่อประมาณ 5-6 ปี มันเป็นการฝึกหรือ กีฬาของผู้หญิง ผมเข้าไปเรียนวันแรกคือ ผมเขินมากก็ไปยืนอยู่หลังสุดเลย ซึ่งไปเรียนตอนแรกเราทำตามเขาไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เราคิดอยู่ในหัวตอนนั้นคือ ตอนนั้นผมอยากทำได้เพราะผมก็มองดูคนอื่นเขาก็ทำได้ผมก็เลยมีเป้าหมายว่าวันหนึ่งจะทำได้มีสุขภาพดีมีความยืดหยุ่น จนวันหนึ่งอาการปวดต่างๆดีขึ้นชีวิตไม่ต้องไปนวด คือ ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กถ้าเราตั้งใจแล้วให้เวลากับมันมากพอ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีการฝึกฝนผมเชื่อว่ามันจะทำได้ครับ ซึ่งการที่ผมไปเรียนโยคะแล้วเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงก็ประมาณ 3-4 เดือน เราก็เริ่มรู้สึกว่าอาการของเราดีขึ้น แต่ถ้าเริ่มตัวยืดหยุ่นก็ประมาณปีหรือสองปีครับ การที่เราเรียนรู้โยคะไม่ใช่เพราะว่าเราต้องการทำท่ายากๆแต่การเรียนโยคะคือเราได้เรียนรู้ร่างกายตัวเองครับ รู้ว่าเราทำได้แค่ไหน บางวันพับตัวเองได้เยอะ บางวันไม่ได้ แต่ละวันไม่เท่ากันครับ
ถาม โยคะ มีหลายแบบใช่ไหม
รอน ภัทรภณ : โยคะมีหลายแบบแต่มีความต่างกันเล็กน้อย แต่คือ จริงๆเบสิกความต่างคือมีความใกล้เคียงกัน คือ ท่าให้เราสอนจะเป็นท่าบีกินเนอร์เลยครับ คือ ท่าเริ่มต้น แต่ก็เป็นท่าที่ยากซึ่งแต่ละคนมีข้อจำกัดทางร่างกายต่างกันเพราะฉะนั้นบางทีเราเห็นเขาทำได้เราทำไม่ได้มันไม่เกี่ยวนะครับ
ถาม เพราะว่าเห็นภาพของ รอน มุ่งมั่นไปทางครูสอนโยคะจนหลายคนสงสัยว่าจะหันหลังให้วงการบันเทิงหรือเปล่า
รอน ภัทรภณ : ยังรับอยู่นะครับ อย่างช่วงนี้ถ่ายละครเยอะมากเลยไม่เคยได้ไปสอน
ถาม จะเปิดเป็นโรงเรียนสอนโยคไหม
รอน ภัทรภณ : ในอนาคตมีฝัน อยากจะเป็นคุณครูที่จะเปิดสตูเป็นของตัวเองแล้วมีนักเรียนมาเล่นเพราะเวลาที่นักเรียนเข้าคราสออกคราสเขาก็จะมาแชร์เล่าให้เราฟังว่าเขาสุขภาพดีขึ้นนะผมยิ้มเลย เพราะเราเริ่มจากการที่เราบาดเจ็บแล้วเรามาเป็นครู ครูของผมมันยิ่งใหญ่มากนะครับ
ถาม งานก็ปัง ชีวิตก็ดีแต่ทำไมเรื่องความรักเรื่องหัวใจเงียบเลย
รอน ภัทรภณ : เงียบจริงครับ คือ สำหรับเรื่องนี้มันค่อนข้างจะซับซ้อนมากครับ คือ ผมเติบโตมากับการทำงานตลอด พอเราดูแลคนในบ้านเยอะพอวันหนึ่งเราเสร็จงาน เราเหนื่อยเราไม่อยากดูแลใครแล้วครับ และอีกอย่างคือ ผมรู้สึกว่าถ้าเกิดเรายังไม่ได้พร้อมผมมีความสุขแบบนี้ ตอนนี้ผมมีความสุขกับการทำงานสอนโยคะอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสืออะไรแบบนี้ครับ ไม่ได้กลัวว่าแฟนคลับจะไม่ให้มีความรักเลยครับ เพราะเขาอยากให้ผมมีมาก ผมมีสเปกที่ชอบนะครับ แต่ตอนนี้ เป้าหมายในชีวิตของผมสามอย่างคือ มันยังไม่มีเรื่องนี้ครับผมเลยยังไม่ได้มองหาว่าใครจะมาเป็นคู่ชีวิตของเราในตอนนี้ผมแฮปปี้อยู่ผมไม่มีก็ได้ ด้วยความที่ผมอยู่กับครอบครัวมา ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์บางอย่างมันเหนื่อยแล้วมันเป็นทุกข์ครับ อย่างทุกวันนี้ผมอยู่กับแม่ผมรักเขามากห่วงเขามาก ผมก็ทุกข์ เพราะเรารักเขามาก แต่ถามว่ามีคนเข้ามาจีบไหมมีอยู่แล้วครับ แล้วมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายด้วย เพราะด้วยความที่เราเป็นแบบนี้เขาก็เลยคิดว่าเข้ามาจีบได้หรือเปล่า แล้วผมก็เป็นคนที่ใครเข้ามาพูดคุย ผมก็คุย แต่ที่เราคุยกับเขาเพราะว่าเราเกรงใจกลัวเข้าสียใจแต่เราก็จะมีการคุยที่ทำให้เขารู้ว่าเราคุยกับเขาในสถานะแบบไหน
สนใจหาข้อมูลและปรึกษาศัลยกรรมได้ที่นี่