สำหรับข้อสงสัยว่า ริ้วรอย หาย 100 เปอร์เซ็นต์ได้ไหม ไปอ่านบทสัมภาษณ์ นี้กัน

Q : ตอนนี้ดิฉันอายุ 36 ปี  มีริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณหางตาและใต้ตาจะเห็นชัดมาก  และมีเยอะกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน  ลองครีมราคาแพงๆมาหลายยี่ห้อแล้วไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไร   จะมีวิธีไหนทำให้ริ้วรอยต่างๆหายไปได้จริงๆไหมค่ะ  หรือถึงเวลาต้องฉีดโบท๊อกซ์ หรือทำเลเซอร์แล้วหรือยังค่ะ ?

A :  ริ้วรอยยังเป็นเรื่องอมตะที่มีผู้ให้ความสนใจมากเสมอ  ทำให้มีผู้ให้การรักษามากขึ้น  ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาริ้วรอยได้ยิ่งมากเข้าไปอีก  หลายท่านอาจเริ่มสับสนแล้วว่าอะไรรักษาได้ ไม่ได้กันแน่  ส่วนคุณผู้ชายบางคนที่มีริ้วรอยและไม่ต้องการรักษาอะไร  ก็สามารถอ่านข้ามเรื่องนี้ไปได้เลยครับ

บางคนบอกว่าริ้วรอยบ้างก็มีข้อดีเหมือนกัน  โดยเฉพาะผู้ชายก็ดูเท่ไปอีกแบบ เพราะทำให้ดูภูมิฐาน  ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะนั่นเอง

เหมือนที่เขาว่า  “Beauty is in the eye of the beholder” ..ความสวยงามก็อยู่ที่ใครชอบยังไงมากกว่า   คงไม่ใช่  “Beauty is in the eye of cash holder” นะครับ

เพื่อจะได้เข้าใจวิธีการรักษาต่างๆมากยิ่งขึ้นว่าเหมาะสมกับเราหรือไม่  ขอแบ่งการรักษาตามประเภทและสาเหตุของริ้วรอยแต่ละชนิดนะครับ

ริ้วรอยแบ่งได้เป็น 3 ชนิดดังนี้

1. Static wrinkles  คือริ้วรอยที่ปรากฏอยู่บนผิวตลอดเวลา โดยเริ่มเกิดเป็นเส้นเล็กๆมาก่อน ( fine line ) แล้วค่อยๆเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ  เพราะผิวหนังขาดความยืดหยุ่นและเริ่มสูญเสียคอลลาเจนในผิว ทำให้ผิวเริ่มบางลงหรือมีความหนาไม่สม่ำเสมอ มีสาเหตุมาจากจาก ผิวเสื่อมสภาพตามวัย หรือเสื่อมก่อนวัย เช่น โดนแสงแดดทำลาย สูบบุหรี่  มลพิษ ขาดสารอาหาร ริ้วรอยประเภทนี้พบได้ง่ายบริเวณรอบดวงตาหรือแก้ม

การรักษาริ้วรอยชนิดนี้  คือการทำอะไรก็ตามที่สามารถเพิ่มความหนาและความยืดหยุ่นของผิวหนัง โดยกระตุ้นการเพิ่มคอลลาเจนและอีลาสติน  ซึ่งทำได้หลายวิธี  ขึ้นกับว่าเป็นมากหรือน้อยและต้องการความเปลี่ยนแปลงมากเพียงใด  เริ่มตั้งแต่การทายาซึ่งเหมาะสำหรับคนเป็นน้อย  ไปจนถึงวิธีทันสมัยที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้าช่วย  ดังนี้  : –

–  ทายาอนุพันธ์กรดวิตามินเอ ( Vitamin A derivatives ) เช่น  Retinoic acid, Tretinoin ใช้ทาเวลาก่อนนอน, ทาครีมหรือซีรั่มวิตามินซี  ที่บรรจุขวดทึบแสง เช่น Ascorbic acid,  VCIP, Ascorbyl Phosphate  หรือ ครีมที่มีส่วนประกอบของสารลดริ้วรอยเช่น Argireline หรือ สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ  ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อตามร้านขายยา  สามารถเดินเข้าไปซื้อเองได้เลย  วิธีนี้ช่วยได้เพียงเล็กน้อย

–  ทำ AHA หรือ Chemical Peel ( ลอกผิวชั้นนอกด้วยยา ) เพื่อลอกผิวเก่าออก โดยความเข้มข้น AHA ต่ำๆหาซื้อได้ทั่วไป ส่วนความเข้มข้นที่สูงขึ้น ( 8 % ขึ้นไป ) จะทำให้ระคายเคืองแสบร้อนมากขึ้น ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์  ส่วนการลอกผิวแบบลึกไม่เหมาะกับผิวคนไทย  เพราะทำแล้วอาจได้แผลเป็น หรือสีผิวด่างดำแทน

–  ทำ Microdermabrasion หรือกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี  ซึ่งต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานความสะอาดเสมอ  เพื่อป้องกันการติดโรคระหว่างบุคคล  เนื่องจากการกรอผิวจะมีเซลล์ผิวหนังหรืออาจมีละอองเลือดของผู้รับการรักษา ติดกับหัวกรอหรือผงกรอหน้าได้

–  ทำเลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจนแบบไม่มีแผล เช่น Nd:YAG laser หรือ IPL ( ที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ ) สำหรับริ้วรอยน้อยถึงปานกลาง

–  ทำเลเซอร์ลอกผิวแบบมีแผล เช่น  Laser Resurfacing ( Carbondioxide, Er:YAG ) เหมาะกับคนที่เป็นริ้วรอยหรือร่องลึกมาก แต่ผลข้างเคียงก็สูงมากขึ้นด้วยเช่น มีแผลหลังทำ อาจเกิดแผลเป็นนูนหรือสีผิวด่างดำได้

–  การทำเลเซอร์เพื่อกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ คือ  Fractional Laser Resurfacing ( Fraxel Laser ) ผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเลเซอร์แบบมีแผล ได้ผลการรักษาดีมาก เหมาะสำหรับคนเป็นเยอะหรือต้องการความเปลี่ยนแปลงมาก โดยทำ  3 – 5 ครั้งทุก  4 – 6 สัปดาห์  ผู้เขียนเห็นว่าเป็นวิธีที่เห็นผลดี  โดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการลอกผิวแบบเก่ามาก

– ยกกระชับผิววิธีล่าสุดโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือUlthera เป็นการสร้างความตึงกระชับและคอลลาเจนใหม่ด้วยเทคโนโลยีชนิด ใหม่ Focused Ultrasound ในผิวชั้นลึก นอกจากแก้ไขความหย่อนคล้อยได้ดีที่สุดในเวลานี้แล้วความตึงกระชับยังสามารถ ช่วยลดริ้วรอยต่างๆลดลงได้มากอีกด้วย

2. Dynamic wrinkles  คือรอยย่นที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ เปรียบเหมือนการที่เราเอามือขยำผ้าเข้าหากัน  เมื่อผ้าถูกดันเข้าหากันบ่อยๆก็จะเกิดรอยพับรอยย่นนั่นเอง มักเป็นบริเวณ ตีนกา หน้าผาก รอยขมวดคิ้ว เป็นต้น ซึ่งรักษาได้ดีที่สุดโดยการฉีด Botulinum Toxin type A ( มีชื่อการค้าว่า Dysport (UK) และ Botox ( USA ) ) โดยได้ผลนาน 4 – 10 เดือน ขึ้นกับปริมาณยาที่ใช้ และกิจวัตรประจำวันของแต่ละบุคคล

3. Wrinkle Folds  หรือร่องลึกต่างๆเช่น ร่องแก้ม หรือร่องที่อยู่ระหว่างคิ้วที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เกิดจากโครงสร้างใต้ผิวที่เสียไปอย่างมาก แก้ไขได้โดยการฉีดสารเติมผิวกลับเข้าไป เช่น Hyaluronic acid, Polyacrylamide, Calcium hydroxylapatite แล้วแต่แพทย์จะพิจารณาใช้  โดยในประเทศไทยนิยมใช้ Hyaluronic acid มากที่สุด

โดยผลการรักษาจะอยู่ได้ชั่วคราว ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี สารบางชนิดอาจอยู่ได้นาน 2 – 3 ปีแต่ยังไม่เป็นที่นิยมในเมืองไทยอีกเช่นกัน

การรักษาเทคนิคใหม่ๆสำหรับผิวคนไทย ก็มีความแตกต่างจากผิวคนต่างชาติอยู่มากเช่นกัน
แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียและประสิทธิภาพแตกต่างกัน  ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ให้แน่ใจก่อนรักษา หรือศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เนตถึงวิธีการรักษาด้วยเครื่องเลเซอร์ต่างๆเป็น ข้อมูลเบื้องต้นก่อน ( จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ )  เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการรักษาที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดครับ

หากใครยังไม่มีริ้วรอยครบทั้ง 3 ประเภท หรือมีแล้วเล็กน้อยสมวัย   ก็สามารถป้องกันไม่ให้มีริ้วรอยมากเกินไปได้ โดยการใช้ครีมหรือโลชั่นกันแดดทุกวัน  ไม่สูบบุหรี่  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  พักผ่อนให้เพียงพอ  เพราะนอกจากป้องกันริ้วรอยแล้วยังทำให้สุขภาพแข็งแรงด้วยครับ

ที่มา : HealthPlus Magazine
โดย นพ.ธีระชัย วรัญญูรัตนะ, DSc&MSc.Dermatology(UK)
แพทย์สยามเลเซอร์ คลินิก

ป้ายกำกับ:

เรื่องน่าสนใจ