ส่วนผสมในครีมกันแดดจะทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการดูดซับรังสี ป้องกันแสง UV ไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงชั้นผิว หรือทำให้รังสี UV แตกกระจายออกไปเพื่อไม่ให้เข้าทำร้ายผิวโดยตรง สำหรับคำแนะนำในการใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดด ที่ดีที่สุด คือครีมกันแดดที่สามารถที่จะป้องกันแสง UV ได้เพียงพอ สำหรับรังสี UV ก็แบ่งได้เป็น
– รังสีจาก UV-A จะทำให้ผิวแก่ก่อนวัย หน้าคล้ำได้ ฉะนั้นเวลาไปทะเล แล้วผิวคล้ำเกิดจาก UV-A
– รังสีจาก UV-B Burning คือผิวไหม้แดด เกรียมแดด อย่างกรณีไปอาบแดด แล้วผิวไหม้ ผิวเกรียม เกิดจาก UV-B
ฉะนั้นจึงต้องมีครีมกันแดดป้องกันทั้ง 2 อย่าง ทั้ง UV-A และ UV-B
SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor โดยค่าของการปกป้องแสงแดด ถูกกำหนดด้วยระบบของ SPF เอง โดยส่วนใหญ่จะคำนวณจากปริมาณจากการป้องกันรังสี UVB ตัวเลขของ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้จากแสงแดด ได้นานเท่าไหร่ เช่น SPF15 หมายถึง ป้องกันผิวจากการไหม้ได้ 15 เท่า เช่น ปกติคุณออกไปสู่แดดโดยไม่ได้ทาครีมกันแดดแล้วผิวไหม้ภายใน 20 นาที ถ้าหาก ทาครีมกันแดด SPF15 แล้ว จะทำให้การที่ผิวจะถูกแสดงแดดทำลายผิวให้ไหม้นั้น ต้องใช้เวลา เป็น 15 เท่าของ 20 นาที หรือ ประมาณ 300 นาที (5 ชั่วโมง) ผิวถึงจะถูกไหม้จากแสงแดด
ค่า SPF สูง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่า จะปกป้องแสดงแดดได้ดีไปกว่า ค่า SPF ที่ต่ำกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ค่า SPF สูง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และยังเป็นไปไปได้ว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้เช่นอาจ จะเกิดผดผื่นคันได้ นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้สีผิวของเราไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยด่างขึ้นได้ และยังอาจจะทำให้เสื้อผ้าเป็นคราบสีเหลืองติดเสื้อผ้าอีกด้วย
ครีมกันแดดใหม่ ๆ ที่วางขายกันในตลาดมักประกอบไปด้วย UVA Filter และค่าที่วัดการป้องกันรังสี UVA เรียกว่า PA โดย PA ย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซืมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ PA+,PA++ และ PA+++
PA+++ นั้นสำหรับผู้ที่ต้องการ การปกป้องสูง (เจอกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน)
PA+ สำหรับผู้ที่ต้องการปกปกแสงแดด จากกิจกรรมทั่ว ๆไป (อาจจะไม่ได้เจอกับแสงมากนัก)
ดังนั้นสำหรับใครที่จะต้องเจอกับแสงแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง ให้เลือก PA++ หรือ สูงกว่านี้
– ใช้ครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก เพราะรังสียูวีสามารถผ่านเมฆ และลงมือทำร้ายผิวของคุณได้แม้วันที่ไม่มีแสงแดด
– โยนครีมกันแดดหลอดเก่าทิ้งไปและซื้อครีมกันแดดหลอดใหม่ เพราะครีมกันแดดมีอายุการใช้งานได้เพียง 1 ปีหลังจากเปิดใช้
– ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อยที่สุดเท่ากับ 15 ในวันธรรมดา และควรใช้ SPF ที่มีค่าตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ในวันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง สำหรับเด็กอายุมากกว่า 6 เดือนควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ทารกที่อายุน้อยกว่านี้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด
– ควรทาครีมกันแดดให้เพียงพอกับขนาดของร่างกาย อย่าขี้เหนียวครีมกันแดด (โดยปกติสำหรับผู้ใหญ่ควรทาอย่างน้อย 30 ซีซี) และสิ่งสำคัญคือห้ามลืมทาบริเวณที่ถูกแสงแดดเผาไหม้ได้ง่าย เช่น จมูกหรือหลังเท้า
– ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 20-30 นาทีก่อนออกไปสัมผัสกับแสงแดดเพราะครีมจะได้ซึมเข้าสู่ผิว และควรทาซ้ำทุกๆ 90 นาที ถึง 2 ชั่วโมงเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง แต่ถ้ามีเหงื่อออกหรือเพิ่งขึ้นจากน้ำควรรีบทาซ้ำทันที
ควรใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ สำหรับการออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ และให้พิจารณาฉลากข้างกล่อง ถ้าเขียนว่า“waterproof” จะสามารถปกป้องผิวได้ประมาณ 80 นาที แต่ถ้าเขียนว่า “water resistant” จะปกป้องผิวได้ประมาณ 40 นาที สิ่งที่ควรรู้อีกประการคือ ผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดฉีดพ่น (สเปรย์) จะถูกน้ำล้างออกได้ง่าย และรวดเร็วกว่าชนิดครีมหรือโลชั่น
ขอบคุณที่มา womanplusmagazine