หลังจากมี พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 กำหนดให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการสปา ได้ปฏิบัติตามกฏหมาย ผู้ประกอบการก็มุ่งศึกษาหาความรู้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวโดดเด่นดอทคอม รายงานว่า วันนี้ (25 มิถุนายน 2560 ) หลังจากได้รับการยอมรับ และ มีผู้อยากศึกษาหาความรู้ให้จัดอบรมสปา กับผู้ประกอบการสปา ที่ต้องการใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญที่ได้ไปต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มในธุรกิจสปา ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไปไทยสืบต่อกันมาแต่โบราณ
นายแพทย์จรัญ บุญฤทธิการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ล่าสุด โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในฐานะที่เป็น ผู้นำด้านการพัฒนาสมุนไพรและได้ขยายมาสู่ การจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมอภัยภูเบศร เดย์ สปา ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ คือ การพัฒนาผู้ประกอบการและนักบำบัดสปาให้มีองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย และสามารถประยุกต์นำองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย-สมุนไพร ไปใช้ในการบริการสปาได้
ดร.ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร หรือ หมอต้อม รองผู้อำนวยการด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับการแพทย์แผนไทยเข้าสู่การบริการในระดับนานาชาติ และสร้างความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ให้กับสปาของไทยได้
ด้วยเหตุนี้ จึงได้จัดการอบรมขึ้นเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกจัดเมื่อปี 2559 เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรม โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลาม
และในครั้งนี้ได้พัฒนาการให้การอบรมไปอีกขั้น สำหรับผู้ประกอบการ ผู้ดำเนินการสปา ผู้ให้บริการสปา และแพทย์แผนไทย ที่สนใจในการนำองค์ความรู้เรื่องศาสตร์ของ “เจ้าเรือน” ไปประยุกต์ใช้ในทุกมิติการส่งเสริม ฟื้นฟูสุขภาพในสถานบริการสปาของแต่ละแห่ง
โดยมีการสอนให้เข้าใจในลักษณะของแต่ละเจ้าเรือน การแก้ไขปัญหาสุขภาพแบบองค์รวม รวมถึงการนำองค์ความรู้เรื่องของตัวยาสมุนไพรมาประยุกต์ใช้ในการบริการสปาทรีทเมนท์ อาหารเครื่องดื่มสุขภาพ เพื่อสร้างความแตกต่าง
“เจ้าเรือนที่แตกต่างกัน จะสื่อให้เห็นถึงโครงสร้าง ลักษณะทางกายภาพ บุคลิกภาพ ความสัมพันธ์ การเรียนรู้ การตัดสินใจ แนวโน้มเกี่ยวกับสุขภาพความเจ็บป่วย จิตใจ และอารมณ์ อภัยภูเบศร เดย์ สปา จึงนำเจ้าเรือนมาประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพ
โดยเป็นการปรับร่างกายเข้าสู่สภาวะสมดุล โดยเลือกดูเจ้าเรือนตามลักษณะ นอกจากจะสามารถดูแลสุขภาพของตนเอง เรายังสามารถดูแลสุขภาพของคนรอบข้างได้ โดยไม่ต้องทราบวันเดือนปีเกิด” แพทย์แผนไทยประยุกต์ ชลาลัย โชคดีศรีจันทร์ อาจารย์จากวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร กล่าว
ในช่วงหนึ่งของการอบรม ได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับ ธาตุเจ้าเรือนตามลักษณะในปัจจุบันมี 3 ลักษณะเด่นได้แก่ ปิตตะ (ไฟ) วาตะ (ลม) และเสมหะ (ดิน น้ำ) อย่างไรก็ตาม ในแต่ละบุคคลอาจมีการผสมของลักษณะเด่นมากกว่า 1 ลักษณะได้
วิธีการสังเกตเบื้องต้น เพื่อวิเคราะห์ธาตุของแต่ละคน ดูได้จาก คนธาตุ ปิตตะ รูปร่างปานกลางผิวแพ้ง่าย หิวบ่อย หงุดหงิดง่าย มีระบบการย่อยอาหารดี การเผาผลาญและการดูดซึมดี มีความสามารถในการวิเคราะห์ คนธาตุวาดะ รูปร่างผอม ผิวแห้ง หยาบ มีความกระตือรือร้น เคลื่อนไหวเร็ว ไม่ชอบอยู่นิ่ง เรียนรู้เร็ว แต่ลืมง่ายตัดสินใจเร็ว
ในขณะที่ คนธาตุเสมหะ ผิวพรรณดี ขนผมดกดำ ผมหนา อ้วนง่าย ลดยาก ง่วงนอนบ่อย เชื่องช้า ขี้เซา จิตใจเย็น อดทนดี น้ำเสียงไพเราะ พูดช้า ๆ เรียบง่าย เป็นมิตร เอื้อเฟื้อ เป็นตามที่ดีไม่นอกกรอบ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ธาตุเบื้องต้นแล้ว
จากนั้นก็ถามวันเดือนปีเกิด เพื่อความละเอียดยิ่งขึ้นก่อนจะแนะนำหลักการดำเนินชีวิตให้สมดุลของแต่ละธาตุ ทั้งเรื่องของความเป็นอยู่ เลือกอาหารให้เหมาะกับธาตุ รวมทั้งกิจวัตรประจำวันที่อาจต้องปรับตัว
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในธุรกิจสปาคือเรื่องของการดูแลผิวพรรณและรูปร่าง ซึ่งแน่นอนว่า ธาตุเจ้าเรือนก็มีส่วนสำคัญที่จะต้องเลือกรับประทานอาหาร หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงผิวแตกต่างกันไป โดย คนธาตุปิตตะจะมีผิวที่มีการสะสมความร้อนมากกว่าธาตุเจ้าเรือนอื่น
ลักษณะผิวค่อนข้างบอบบาง แพ้ง่าย ก็ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม และเลือกรับประทานสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น สะเดา ฟ้าทะลายโจร บัวบก ตำลึง ฟักแฟง แตงกวา เป็นต้น ขณะที่ผิวคนวาตะ มักจะแห้งมีความชุ่มชื่นน้อย ทำให้ผิวแห้งกร้านหมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าเจ้าเรือนอื่น
ดังนั้นในการบำรุงผิว จะต้องใช้สมุนไพรหรือวัตถุดิบที่มีความชุ่มมัน เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ข้าว นม น้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงความชุ่มชื่นของผิว
สุดท้ายคือผิวแบบเสมหะ มักมีความชุ่มมันในผิวมาก ทำให้ผิวพรรณดี เหี่ยวช้า เกิดริ้วรอยและแห้งกร้านได้ยากกว่าเจ้าเรือนอื่น แต่หากชุ่มมันมากเกินไปก็จะเกิดสิวอุดตัน ซีสต์ใต้ผิวหนัง ดังนั้นจึงต้องควบคุมด้วยสมุนไพรรสเปรี้ยวชำระล้างความมันส่วนเกิน เช่น มะเขือเทศ หรือสมุนไพรรสฝาก หรือใช้ในการควบคุมความมันอย่าง แครอท เป็นต้น
อาหารเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ จะช่วยเสริมเพื่อให้มีสุขภาพดี อาหารที่รับประทานของคนแต่ละธาตุก็จะแตกต่างกันไป เมนูอหารสำหรับชาวปิตตะ เมื่อเกิดภาวะธาตุไม่สมดุล ควรรับประทานอาหารรสขม เพื่อกลับสู่สมดุล โดยจัดสรรเป็นเมนูอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่ม เช่น มะระผัดไข่ ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว น้ำกระสายยา ยำใบบัวบกทูน่า แกงจืดหมูบะช่อแตงกวา เป็นต้น
เมนุธาตุสำหรับชาววาตะ เมื่อเกิดภาวะธาตุไม่สมดุล ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อน หวานเล็กน้อย เช่น แกงป่าไก่ อกไก่ผัดพริกไทยดำ เต้าทึงน้ำลำไย ยำตะไคร้กุ้งสด น้ำกระสายยาลดวาตะ เป็นต้น สุดท้ายคือ เมนูอาหารสำหรับชาวเสมหะ เมื่อธาตุไม่สมดุล ควรรับประทานอาหารรสเปรี้ยว เผ็ดร้อน เช่น บัวลอยน้ำขิง ยำเห็ดสามอย่าง อกไก่ผัดขิง ไก่ต้มขมิ้น น้ำกระสายยาลดเสมหะ เป็นต้น
ปัจจุบันธุรกิจสปามีหลากหลายรูปแบบ แต่การจะคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ชูจุดแข็งภุมิปัญญาตะวันออก เพื่อสร้างความแตกต่างนั้น ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ในการที่จะพัฒนาสปาไทยให้โด่งดังไกลทั่วโลก
สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสในครั้งนี้ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก็จะมีการจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขอให้ติดตามกันอย่างใกล้นะคะ