ที่มา: matichon

นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) เปิดเผยว่า คนไม่ว่าชาติใดที่ไปตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศต้องให้การช่วยเหลือ แต่ในกรณีคนของตัวเองไปทำความผิดตามกฎหมายของต่างชาติก็ต้องช่วยในด้านการต่อสู้คดี เพื่อไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งและเพื่อความเป็นธรรม รวมถึงเรื่องมนุษยธรรม

แต่กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศทำได้อย่างไรจึงขอให้อัยการญี่ปุ่นถอนฟ้องได้ ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ว่าหลักกฎหมายของประเทศไทยและของญี่ปุ่นจะเหมือนกันคือยอมความไม่ได้ ถ้าขโมยทรัพย์สินใดไปแล้ว ภายหลังถูกจับได้ก็ไม่สามารถชดใช้ค่าเสียหายแล้วจบโดยไม่มีความผิด มิฉะนั้นการบัญญัติโทษว่าการลักทรัพย์มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกและปรับจะไม่มีความหมายอะไร

“คนฐานะยากจนไปลักทรัพย์มาเพื่อประทังชีวิต หากถูกจับได้แต่ไม่มีเงินไปชดใช้เจ้าทรัพย์ต้องติดคุกสถานเดียว ในขณะที่รองอธิบดีลักทรัพย์สำเร็จแล้ว และเมื่อถูกจับได้ก็ยอมรับว่าได้ลักทรัพย์จริง ตามกระบวนการยุติธรรม อัยการต้องฟ้องคดีต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาว่าจะลงโทษเท่าใด

และจะสามารถรอการลงอาญาหรือรอการลงโทษได้หรือไม่ ผมบอกได้เลยว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยและรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายญี่ปุ่น” นายวีระกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เดินทางกลับประเทศไทยด้วยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ทีจี 673 จากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เวลา 17.25 น. ( ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น ) ถึงสนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย เวลา 22.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ที่ผ่านมา

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินการต่อนายสุภัฒ ผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์หาผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์แต่ไม่รับสาย ทั้งนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางวิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ตัดสายทิ้งถึง 2 ครั้ง

เรื่องน่าสนใจ