สาวๆ ที่คลั่งไคล้ความงาม ฝันใฝ่อยากเปลี่ยนโฉมหน้าดึงดูดใจผู้พบเห็น เธอเหล่านี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ศัลยกรรม คือความคิดแรกสุดที่เข้ามาในหัว แต่เมื่อปลงใจตัดสินได้แล้วว่า ศัลยกรรมคือคำตอบสุดท้าย สเต็ปต่อไปจึงหนีไม่พ้นงานหาค้นข้อมูล แสวงหารีวิว เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์ใบหน้าใหม่ที่กำลังจะมาถึง…
ทว่า ก่อนขึ้นเขียง สาวๆ หลายคนคงเข้าไปเสิร์ชหาข้อมูลกันให้พัลวัน หมอไหนดี หมอไหนเด็ด เรตราคาอยู่ที่เท่าไหร่ จนสุดท้ายโชคร้ายต้องตกเป็นเหยื่อของการตลาด หากเพราะขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ซึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันและมักโดนมองข้ามไปเลยก็คือ คุณวิเคราะห์ปัญหาบนใบหน้าของตนเองก่อนทำศัลยกรรมดีถ่องแท้แล้วหรือยัง?
พลตำรวจตรีนายแพทย์ อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยแห่งประเทศไทย และ นายแพทย์สมศักดิ์ คุณจักร ศัลยแพทย์ชื่อดัง ร่วมพูดคุยกับทีมเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ พร้อมตอบทุกคำถามที่คาใจ เผยความลับหมอศัลย์ที่ยังไม่ถูกเปิดเผยที่ไหน!
นายกสมาคมศัลยกรรมฯ มองเรื่องฝีมือศัลยกรรมระหว่างไทย และเกาหลี ว่าใครเป็นผู้เด็ดดวงกว่ากันนั้น ไม่สามารถระบุเป็นข้อยืนยันใดๆ ได้ว่าใครเก่งกาจไปกว่ากัน แต่คนไข้จะต้องพิจารณาจากตัวศัลยแพทย์ที่เราจะฝากใบหน้าและรูปร่างไว้กับเขาก่อนว่า คนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาเช่นไร ผลงานเก่าๆ ที่เคยทำเป็นที่ถูกอกถูกใจ และใช่ผลงานของเขาจริงๆ หรือไม่
นายแพทย์สมศักดิ์ มองว่า การศัลยกรรมระหว่างประเทศไทยและเกาหลีใต้ ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เนื่องจากทั้งไทยและเกาหลีเองต่างมีความชำนาญเฉพาะด้าน ซึ่งไทยเคยขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียในเรื่องของการศัลยกรรม อีกทั้งคนไข้บางคนที่ศัลยกรรมมาจากเกาหลี ก็มาให้ตนแก้ไขความผิดพลาดให้ ขณะที่คนไข้บางคนทำผิดรูปแบบ ก็จะไปให้ที่เกาหลีแก้ไข
นายแพทย์ชื่อดังเรื่องการศัลยกรรมท่านหนึ่ง เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า หากคนไข้ต้องการตัดปีกจมูก และเสริมจมูกด้วย อันดับแรกอย่าปลงใจเชื่อไปเสียก่อนว่า ตัดปีกจมูกพร้อมเสริมจมูก เป็นเรื่องสะดวก ง่าย ประหยัดเวลา เพราะอันที่จริงแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ สมควรทำทีละครั้ง โดยเสริมจมูกก่อน รอแผลหยุดบวม จึงค่อยไปตัดปีก เพื่อคนไข้สามารถตรวจสอบและสังเกตได้ด้วยตนเองว่า หลังเสริมจมูกมาแล้วนั้น รูปทรงของจมูกอาจเปลี่ยนไป โดยไม่จำเป็นต้องตัดปีกอีกต่อไปแล้วก็ได้ แต่ถ้าคนไข้เลือกทำพร้อมกัน อาจทำให้รูปจมูกเสีย เนื้อจมูกดูบางเกินไป
“เสริมจมูกเสียก่อน แล้วค่อยไปตัดปีก จะเหมาะสมกว่า ถ้าตัดปีกจมูกไปแล้ว ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เพราะบางคนเพียงแค่เสริมอย่างเดียวก็สวยแล้ว แต่ที่หมอเชียร์ให้ทำคู่กันนั้น อาจเป็นเรื่องของการตลาด” นายแพทย์ท่านหนึ่ง แย้มไต๋กลหมอศัลย์
หมอศัลยกรรมระดับแนวหน้าของเมืองไทย แอบกระซิบกระซาบบอกกับทีมข่าวว่า คนไข้หลายคนมักมีความเข้าใจที่ผิดว่า ซิลิโคนมีเวลาหมดอายุการใช้งาน มีวันเสื่อมสภาพ เพราะซิลิโคนไม่ใช่อวัยวะของร่างกายเรา ทำนานแค่ไหนก็ต้องเปลี่ยนอันใหม่ใส่เข้าไป ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะซิลิโคนที่ดีและมีคุณภาพนั้น มีอายุการใช้งานยาวนานไปจนกว่าคุณจะเสียชีวิต
ส่วนคนไข้ที่ได้รับข้อมูลจากแพทย์ว่า ต้องเปลี่ยนซิลิโคนภายในสองปีหรือสิบปี เนื่องจากซิลิโคนหมดอายุ หรือเปลี่ยนเพื่อให้สวยได้รูปทรงกว่าเดิม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงแบบผิดๆ และเข้าข่ายศัลยกรรมเพื่อการตลาด
โบท็อกซ์ คือชื่อทางการตลาด ส่วนชื่อจริงนั้นคือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยแห่งประเทศไทยให้ข้อเท็จจริงสำหรับผู้ไม่รู้ไว้เช่นนั้น พร้อมบอกอีกว่า ตัวยาชนิดนี้ ฉีดแล้วมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต ริ้วรอยบนใบหน้าบางส่วนไม่ทำงาน ซึ่งจะมีฤทธิ์ชั่วคราวประมาณ 6 เดือน
ขณะที่ข้อเสียคือ หากฉีดใกล้หว่างคิ้ว แล้วตัวยาแทรกซึมไปที่บริเวณเนื้อใกล้ดวงตา อาจมีผลทำให้ลืมตาไม่ขึ้นถึง 2 เดือน หรือแม้แต่ฉีดบริเวณกราม ก็มีผลทำให้เคี้ยวข้าวไม่สะดวก เพราะกล้ามเนื้อที่ขากรรไกรอ่อนแรง กล้ามเนื้อหน้ากรามจะฝ่อลีบชั่วคราว
ส่วนที่สาวๆ หลายคนเข้าใจว่า ฉีดครบ 3 ครั้ง หน้าจะเรียวถาวรและไม่จำเป็นต้องฉีดอีก เป็นความเข้าใจที่ผิดและไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด และทุกครั้งก่อนที่แพทย์จะบรรจงฉีดยาลงบนใบหน้าของคุณนั้น คุณต้องพิจารณาตรวจสอบให้ดีอีกครั้งว่า หมอได้ฉีดจากขวดยาที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นหรือไม่ เพราะบางครั้งหมออาจเอาขวดที่ถูกต้อง มีคุณภาพให้ดู แต่พอตอนฉีดกลับหยิบเอาอีกขวดที่ไร้ประสิทธิภาพมาฉีดให้เราก็เป็นได้
นพ.อรรถพันธ์ และ นพ.สมศักดิ์ มีความเห็นตรงกันว่า ศัลยกรรมที่เจ็บมากที่สุดคือ ศัลยกรรมหน้าอก และดูดไขมัน เนื่องจากกระทบกล้ามเนื้อหลายส่วน โดยเฉพาะการผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ต้องมีการผ่าตัดแหวกกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ ซึ่งมีอาการเจ็บ ทรมาน และเสียเลือดมาก ขณะที่การดูดไขมันจะทำให้เกิดการระบมและอักเสบในเนื้อเยื้อบริเวณใกล้เคียง
ส่วนศัลยกรรมที่เจ็บน้อยที่สุด คือ ตาและจมูก โดยเฉพาะตาที่มีเนื้อตาค่อนข้างเยอะจะเจ็บน้อยลง เพราะจะบวมและอักเสบน้อย อีกทั้งจะใช้เวลาการพักฟื้นเร็ว สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที
บริเวณที่คนส่วนใหญ่นิยมทำศัลยกรรมมากที่สุด อันดับหนึ่งคือ จมูก รองลงมา คือ ตา อันดับที่สามคือ หน้าอก ตามด้วยคาง และปากตามลำดับ โดยขั้นตอนการทำจะพิจารณาจากเค้าโครงหน้าของคนไข้ ซึ่งบางคนมีรูปดารา ภาพอวัยวะที่สวยๆ มาให้ดูเป็นแบบอย่าง แต่ทางศัลยแพทย์ก็จะต้องดูเสียก่อนว่าสามารถทำให้ได้ตรงตามที่คนไข้ต้องการหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้ออวัยวะนั้นๆ และองค์ประอบอื่นๆ ร่วมด้วย มิใช่ว่า อยากได้จมูกหยดน้ำแบบดารา แต่เนื้อจมูกน้อยก็ไม่สามารถทำได้
ในขณะเดียวกัน หากรูปทรงเดิมดีอยู่แล้วศัลยแพทยก็จะไม่อนุญาตให้ทำ หรือบางกรณีทำแล้วหน้าเปลี่ยน ก็ต้องมีการพูดคุยและตกลงระหว่างคนไข้กับแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการและพึงพอใจที่สุด
“ทำมาแล้วหรอ ไม่สวยเลย” “ทำได้แค่นี้ เสียดายตังค์” และอีกมากมายสารพัดคำพูดอันบั่นทอนจิตใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าได้แคร์ เพราะสิ่งสำคัญที่ควรตระหนักมากที่สุดคือ ความปลอดภัยของชีวิตคุณ!.
ขอบคุณที่มาจาก ไทยรัฐ
ลัดเลาะเรื่องราวการทำศัลยกรรมอย่างปลอดภัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดีกรีนายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยแห่งประเทศไทย มาให้ความรู้ก่อนการทำศัลยกรรมว่าคนไข้ควรจะทำอย่างไรเป็นอันดับแรก รวมไปถึงเรื่องการวางยาสลบก่อนการผ่าตัดว่ามีความอันตรายมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้ที่กำลังจะไปทำศัลยกรรม..
พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย อธิบายถึงความเป็นมืออาชีพของศัลยแพทย์จะต้องประกอบไปด้วยศาสตร์ทั้ง 6 ด้าน เพื่อให้ประสบความสำเร็จและเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวคนไข้และวิชาชีพของศัลยแพทย์ คือ
1.ศาสตร์ด้านการแพทย์ที่ต้องมีความรู้
ด้านการผ่าตัด : มีความเชี่ยวชาญถึงขั้นตอนการผ่าตัดอย่างถูกวิธี
ด้านจิตวิทยา : รู้ว่าคนไข้ต้องการเสริมสวยบริเวณไหน บางครั้งคนไข้ที่มาปรึกษาศัลยแพทย์มักจะพูดอ้อมค้อมไม่ตรงประเด็น เพราะฉะนั้นศัลยแพทย์ต้องเข้าใจในสิ่งที่คนไข้ต้องการจะสื่อออกมา
ด้านการใช้ยารักษา : ยามีหลายยี่ห้อ ส่วนประกอบต่างกัน ศัลยแพทย์จะต้องมีความรู้ในการจัดยาให้คนไข้ในปริมาณที่พอดี รวมไปถึงการฉีดยาที่อาจมีผลกระทบต่อร่างกายคนไข้ได้เช่นกัน
2. ศาสตร์ด้านศิลปะแห่งความงาม
ศัลยแพทย์จะต้องมีจินตนาการด้านความสวยงามบนร่างกายมนุษย์ จะต้องมีศิลปะ ประณีตและละเอียดอ่อน
3.ศาสตร์ด้านนรลักษณ์ (โหงวเฮ้ง)
ศัลยแพทย์จะต้องรู้ลักษณะโครงสร้างของใบหน้าที่ถูกต้องตามโชคชะตาและราศี ว่าการเสริมส่วนนี้จะมีผลด้านโชคชะตาอย่างไร ศัลยแพทย์จะดูโหงวเฮ้งว่าหน้าคุณควรเสริมส่วนไหน
4. ศาสตร์ด้านจริยธรรมคุณธรรม
ศัลยแพทย์จะต้องแนะนำให้คนไข้ทำในส่วนที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของคนไข้ ไม่ใช่ว่าแนะนำให้ทำจมูกเพราะศัลยแพทย์เก่งด้านนี้ และหลังจากทำศัลยกรรมเสร็จแล้ว ศัลยแพทย์ต้องมีการติดตามดูแลผลลัพธ์ อย่างน้อย 3 เดือน ซึ่งเป็นระยะยุบบวมของอวัยวะที่ผ่าตัด หากอยู่ในสภาพ 60-70% ถือว่าผ่าน รวมไปถึงศัลยแพทย์จะต้องไม่โกหกคนไข้ ต้องบอกถึงข้อดีและข้อเสียของการทำศัลยกรรมด้วย
5.ศาสตร์ด้านค่านิยมของสังคม
ธรรมชาติของมนุษย์มีการเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนนั้นสวยไม่สวย จึงทำให้เกิดการกระตุ้นให้มนุษย์มีความรักสวยรักงามมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยรับค่านิยมมากจากประเทศเกาหลี ที่มีการโฆษณาว่ากว่าครึ่งประเทศนิยมทำศัลยกรรมกัน ศัลยแพทย์จึงต้องเข้าใจในเรื่องค่านิยมของสังคมเพื่อนำมาปรับใช้ในวิชาชีพ
6.ศาสตร์ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์และกฎหมายบ้านเมืองทุกๆ ฉบับที่มีผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
คนไข้ต้องมีการเซ็นชื่อยอมรับก่อนการทำศัลยกรรม ไม่เช่นนั้นศัลยแพทย์จะไม่ดำเนินการให้ เพราะการทำศัลยกรรมบางแห่งค่อนข้างมีความเสี่ยง หากคนไข้ไม่พอใจเกิดการเรียกร้อง ศัลยแพทย์จะใช้เอกสารนี้ยืนยัน แต่ควรมีการตกลงกับคนไข้ก่อนจะดีที่สุด
พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ อธิบายถึงการฉีดยาชาและการวางยาสลบก่อนการทำศัลยกรรมว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและมีความอันตรายต่างกัน โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ หรือไซโลเคน (Xylocaine) เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากศัลยกรรมเสริมสวยหรือทันตแพทย์ มักใช้ปริมาณยาตามมาตรฐานทางการแพทย์หรือการไม่ฉีดยาเกินขนาดจนทำให้เกิดอันตราย เช่น การทำตาสองชั้น เสริมจมูก เสริมคาง ดึงหน้าผาก
ขณะที่ การวางยาสลบ จะใช้ในกรณีที่เกิดการผ่าตัด โดยจะผ่าตัดกับอวัยวะที่มีพื้นที่กว้าง เช่น เสริมและลดเต้านม ตัดผนังหน้าท้อง ดูดไขมัน เสริมสะโพก ซึ่งการฉีดยาชาเฉพาะที่ไม่สามารถป้องกันความเจ็บปวดได้เต็มพื้นที่ ดังนั้น ศัลยแพทย์หลายคนจึงใช้วิธีดมยาสลบ
หลากหลายเคสที่เคยตกเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ กรณีที่มีหญิงสาวไปทำศัลยกรรมแล้วเสียชีวิต เนื่องจากแพ้ยาสลบ โดย พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ ยอมรับว่า การผ่าตัดที่มีการวางยาสลบคนไข้ เช่น เต้านม ถือว่ามีความเสี่ยงสูง มีการเสียเลือดเยอะ
ก่อนที่คนไข้จะตัดสินใจผ่าตัดศัลยกรรม ศัลยแพทย์จะต้องแจ้งรายละเอียดให้คนไข้ทราบเกี่ยวกับการวางยาสลบและต้องแจ้งว่าจะให้หมอคนใดเป็นผู้วางยาสลบหรือหากในสถานพยาบาลบางแห่งไม่มีวิสัญญีแพทย์ แต่จะให้วิสัญญีพยาบาลมาเป็นผู้วางยาสลบแทนก็ต้องแจ้งคนไข้ให้ทราบด้วยเช่นกัน เพื่อที่คนไข้จะได้มีสิทธิ์เลือกและตัดสินใจว่าจะให้ใครมาเป็นผู้วางยาสลบให้แก่ตน รวมไปถึงวิสัญญีแพทย์จะต้องสอบถามประวัติคนไข้ว่าในครอบครัวมีใครเคยแพ้ยาสลบบ้าง
การวางยาสลบจะต้องมีวิสัญญีแพทย์เป็นผู้ดำเนินการและจะต้องมีอุปกรณ์ในการกำกับดูแลช่วยชีวิตขณะที่คนไข้หลับอย่างได้มาตรฐานตามหลักวิชาวิสัญญีวิทยาและเพื่อให้เกิดความปลอดภัย นอกจากนี้ หลังผ่าตัดเสร็จแล้ว คนไข้จะต้องอยู่ในความดูแลของวิสัญญีแพทย์ เนื่องจากคนไข้จะมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ส่วนความดันโลหิตและชีพจรจะต้องใช้เครื่องวัดอยู่ตลอดเวลา เพื่อตรวจสอบว่าคนไข้อยู่ในอาการปกติหรือไม่
ทั้งนี้ คนไข้จะฟื้นตัวหลังวางยาสลบ 1-2 ชั่วโมง แต่จะให้หมดฤทธิ์ยาสลบอยู่ในช่วง 6-8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของตัวคนไข้และระยะเวลาของการผ่าตัด
พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ เน้นข้อสำคัญที่คนไข้พึงรู้เพื่อความปลอดภัยในการทำศัลยกรรม ได้แก่..
1. เลือกศัลยแพทย์ถูกคน : คนไข้ควรพิจารณาศัลยแพทย์ว่าคนที่จะฝากใบหน้ารูปร่างเป็นใคร มีประวัติหรือความเชี่ยวชาญในด้านไหน อย่าหลงเชื่อการโฆษณาของแพทย์ ซึ่งบางท่านมีการโน้มน้าวด้วยวิธีหารูปดาราหรือผู้มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ คนไข้ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์และให้แพทย์เลือกใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับคนไข้ เพื่อให้ดูว่าก่อน-หลังการทำผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
2. รู้ข้อดี-ข้อเสีย หลังทำศัลยกรรม : เมื่อคนไข้มาปรึกษา ศัลยแพทย์ต้องอธิบายถึงข้อดี-ข้อเสียหลังจากทำศัลยกรรม รวมไปถึงผลข้างเคียงต่างๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคนไข้
3. กระบวนการติดตามผลลัพธ์ : คนไข้จะต้องถามศัลยแพทย์ว่า จะติดตามดูแลคนไข้นานเท่าไหร่ถึงจะรู้ผลลัพธ์ที่สามารถประเมินได้ว่ามีความสวยงามในระดับที่ใกล้เคียงกับที่ศัลยแพทย์ได้บอกกับคนไข้ไว้ก่อนที่จะดำเนินการผ่าตัด
4. ผลงานเป็นที่ประจักษ์ : คนไข้จะรู้ว่าศัลยแพทย์มีความสามารถแค่ไหน อยู่ที่ผลงานที่ฝากเอาไว้กับคนไข้เดิมๆ ที่ศัลยแพทย์ท่านนั้นเคยทำ
5.ปรึกษาศัลยแพทย์หลายๆ ท่าน : เมื่อคนไข้ได้ปรึกษาศัลยแพทย์ หากไม่แน่ใจ คนไข้ไม่ควรรีบตัดสินใจผ่าตัด เนื่องจากคนไข้สามารถที่จะไปปรึกษาศัลยแพทย์ท่านอื่นๆ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้
6.แพ็กเกจพิเศษ..ทำหลายอย่างพร้อมกันต้องคิดดีๆ : การผ่าตัดถ้ามีการทำหลายๆ อย่างในครั้งเดียวกัน โดยศัลยแพทย์เป็นผู้แนะนำ เช่น การเสริมจมูกกับตัดปีกจมูก ในครั้งเดียวเป็นแพ็กเกจราคาพิเศษ คนไข้จะต้องถามศัลยแพทย์ว่ามีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร มีผลกระทบกับร่างกายมากน้อยแค่ไหน หากคนไข้เลือกที่จะทำพร้อมกันอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ฉะนั้น แพ็กเกจทำคู่ราคาถูก แม้จะสบายกระเป๋า แต่อาจเจ็บตัวมากกว่าเดิมก็ได้
“การทำผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสวยไม่ใช่เรื่องรีบด่วน เพื่อให้คนไข้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถที่จะตัดสินใจยินยอมหรือไม่ยินยอมในการทำศัลยกรรมก็ได้” นายกสมาคมศัลยกรรมฯ กล่าว
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า แพทย์ทุกคนต้องมีจริยธรรมในการรักษา แต่เรื่องสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบันคือการให้ข้อมูลแก่คนไข้ ที่ต้องมีความรอบด้าน ทั้งด้านบวกและด้านลบ ส่วนเรื่องฝีมือถือเป็นเรื่องของความชำนาญของศัลยแพทย์แต่ละท่าน
ทั้งนี้ จริยธรรมของแพทย์ต้องมีความรับผิดชอบเมื่อทำให้คนไข้เกิดความเสียหาย แต่ก่อนที่จะลงมือทำต้องคุยกับคนไข้ก่อนว่าจะทำอย่างไร ทำแล้วออกมาเป็นอย่างไร ทำแล้วอาจจะไม่ได้ดูเด็กเหมือนอายุ 18 ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ หรือมีความอันตรายแค่ไหน มีผลกระทบตามมาอย่างไรบ้าง รวมไปถึงผลที่ควรจะได้หลังจากการทำศัลยกรรม
นอกจากนี้ ที่ผ่านมามีเคสที่ทำศัลยกรรมแล้วไม่พอใจ กลับมาเรียกร้องศัลยแพทย์ เพราะว่าไม่ได้มีการคุยหรือตกลงกันมาก่อน ไม่ได้อธิบายว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร ทั้งผลดีและผลเสีย ซึ่งส่วนใหญ่สามารถตกลงกันได้ระหว่างคนไข้กับศัลยแพทย์ และกรณีที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความรุนแรงมากรวมไปถึงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ด้าน พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า การไม่โฆษณา คือ จริยธรรมของแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการโอ้อวดสรรพคุณยาหรือการรับประกันว่าดูดีเหมือนดารา แม้กระทั่งติดป้ายส่งเสริมการตลาดทำเป็นแพ็กเกจราคาถูก ถือว่าผิดวิธีทางการแพทย์ และศัลยแพทย์ต้องไม่โกหกคนไข้ แต่ต้องแนะนำให้ถูกต้องว่าคนไข้เหมาะสมที่จะทำศัลยกรรมส่วนไหนถึงจะดีที่สุด
หากคนไข้และศัลยแพทย์ผู้รักษาเพื่อเสริมสวย ได้ปฏิบัติโดยอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ชัดเจนของทั้งสองฝ่าย โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงในการรักษาจะน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต เหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะคนไข้ไม่ได้รับข้อมูลจากศัลยแพทย์เพียงพอ จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา และข่าวการเสียชีวิตของคนไข้ด้านการเสริมสวยทุกรายมีผลกระทบต่อวงการแพทย์ไทย ดังนั้นคนไข้สมควรที่จะได้ใช้สิทธิผู้ป่วยที่พึงมี..
ที่มา www.thairath.co.th