“ศัลยกรรม เปลี่ยนชีวิต!?” หลายคนตั้งคำถามว่าทำได้จริงหรือไม่ สำหรับคนที่มีปัญหาด้านบุคลิกภาพ อาจจะเป็นเรื่อง “จำเป็น” ที่ทำเพื่อใช้อาศัยอยู่ในสังคม แต่สำหรับบางคนที่ต้องการหล่อสวยแบบติดจรวดข้ามคืน ก็อาจจะเลือกที่จะยอมเจ็บเพื่อให้สังคมยอมรับ เสริมความมั่นใจ และเพื่อใช้ทำมาหากิน

อาชีพในวงการบันเทิง ถือเป็นอาชีพยอดฮิตที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน หลายคนเดินเข้ามาแบบหน้าตาค่อยๆ เปลี่ยนไป แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้ทำ “หล่อ สวย พ่อแม่ให้มา” ถามจริงๆ จะมีใครเชื่อบ้าง!? แม้สังคมเปิดกว้างมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พูดความจริง แต่ทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น สาวน้อยใจกล้า ร้อนแรงบนเวที  “จ๊ะ อาร์สยาม” นงผณี มหาดไทย ผู้ที่บอกให้โลกรู้ว่า ผ่าตัดเสริมอึ๋ม แชร์ภาพผ่าน IG ส่วนตัวโดยพร้อมยอมรับกระแสบวกและลบที่จะตามมา บอกว่า

jars02

นมเล็กเรื่องใหญ่! ใช้สารพัดวิธีดัน…ไม่ได้ผล!

น้องจ๊ะ เล่าว่า ไม่ได้มองเรื่องการทำศัลยกรรม เป็นค่านิยม แต่จ๊ะมองตัวเองว่ามีสิ่งไหนยังไม่ดี เราก็ต้องพัฒนา จ๊ะมีปัญหาเรื่องหน้าอก คิดตั้งแต่ก่อนที่จะเป็น “จ๊ะ คันหู” แต่เนื่องจากตอนนั้นไม่มีเงิน แต่พอมาเป็น “จ๊ะ คันหู” กลับไม่มีเวลาไปทำ หลังจากนั้นได้มีโอกาสไปถ่ายแบบ ก็เจออุปสรรคใหญ่คือเราไม่มีหน้าอก ต้องใช้สารพัดวิธีช่วย จึงตัดสินใจจะทำ โดยเริ่มหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ถามช่างแต่งหน้า แล้วก็พบว่ามีอยู่ที่หนึ่งน่าสนใจ จึงเดินเข้าไปทำ”

เจ็บ! แสบ! ปวด! หลังทำศัลยกรรม

“ตอนที่จะทำก็รู้สึกกลัว เพราะศัลยกรรมเหมือนการแทงหวย หากถูก ก็ออกมาสวย แต่จ๊ะ ก็ได้เข้าพูดคุยกับคุณหมอก่อน เมื่อได้มีการพูดคุยก็ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น ตอนที่เข้าห้องผ่าตัด ความรู้สึกแรกคือ…กลัวมาก หัวใจเต้นแรงมาก เพราะไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดเลย แต่พอหมอวางยาสลบ ก็ไม่รู้เรื่อง แต่พอตื่นมา “เจ็บมากกก เคสหนูคือต้องทำหน้าอก ผ่านใต้กล้ามเนื้อ กระดูกกับเนื้อหนูมันติดกัน หมอต้องแซะเนื้อออกจากกระดูกออกจากกัน แล้วเราก็จะรู้สึกแสบ และ ปวดมาก แล้วก็หนักมาก ไม่สามารถลุกขึ้นได้ หลังผ่าตัดหมอเขาแนะนำให้พักตัวเป็นเดือน แต่เราพักแค่ 7 วัน เพราะเริ่มมีงานเข้ามา แม้จะกลัวว่ามันมีผลตามมา แต่ด้วยที่เรารับงานไปแล้ว พอหลังจากลงเวที ก็รู้สึกไม่สบาย ไข้ขึ้น”

ตอนนี้ จ๊ะทำศัลยกรรมหลายอย่าง คือ ทำหน้าอก โบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์ ดัดฟัน และสักคิ้ว ถามว่ากลัวเสพติดศัลยกรรมหรือไม่ “ไม่กลัว เพราะคิดว่าทำแค่นี้ก็พอแล้ว แต่หลายคนทักว่าเราหน้าเปลี่ยนไปเยอะ แต่จริงๆ แล้วเราทำไม่เยอะ แต่เพราะตอนแรกไม่รู้เทคนิคการแต่งหน้า แต่พอเข้าสังกัดอาร์สยาม เราก็เจอช่างแต่งหน้าดีๆ สอนวิธีแต่งหน้าให้”

jars05

สวยด้วยแพทย์ นับว่าคุ้ม (สำหรับจ๊ะ อาร์สยาม)!!

ศัลยกรรมมีผลกับงานหรือไม่ จ๊ะ อาร์สยามยอมรับว่า มีบ้าง แต่ไม่เยอะ คนที่ชอบจ๊ะ ชอบที่เป็นคนตรงๆ เป็นคนแรงๆ คนที่มาชอบเราจะเป็นเฉพาะกลุ่มจริง ๆ ส่วนมีผลกับงานหรือไม่ ก็ยอมรับว่ามี พอทำแล้วก็เริ่มมีงานถ่ายแบบ ที่ต้องใช้คาแรกเตอร์ที่ชัดเจน เช่น ต้องการเซ็กซี่ ก็มีเข้ามา

นักร้องสาวสุดเซ็กซี่ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่า “คุ้มนะ เพราะที่ทำ ไม่ต้องการให้เป็นกระแส หากต้องการเป็นกระแส ก็จะทำให้ใหญ่ แต่ของจ๊ะ คือทำแค่ให้มันมี ทำแบบให้มันมีรูปร่างเหมือนตอนที่เราดัน แต่เราอยากให้มันออกมาเป็นธรรมชาติ มันพอดีกับตัวเรา เวลาแต่งตัว มันทำให้มั่นใจมากขึ้น แม้จะมีคนทักเราก็อธิบายไปว่าต้องการแค่ให้ “มี” ไม่ต้องการ “ใหญ่” การที่ไม่ทำให้ใหญ่ส่วนหนึ่งเพราะกลัวกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ตอนแรกที่ตัดสินใจลง IG ก็คิดแล้วว่าต้องมีคนด่าแน่ๆ แต่ถ้าเราทำมาแค่ “พอมี” คนอาจจะเข้าใจ

ไม่เสียใจ หากมีผลข้างเคียงตอนแก่

“ถ้าตัดสินใจว่าจะทำแล้ว ก็คงต้องยอมรับผลของมัน แต่ถ้าถามว่ากลัวหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่ากลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า (หัวเราะ) ทุกอย่างที่เข้ามาในร่างกาย หรือเข้ามาในชีวิตเรา ก็ย่อมมีผลกระทบอยู่แล้ว ก็ต้องเตรียมใจไว้ แต่ถ้ามีผลกับร่างกายจริงๆ ก็คงต้องเอาออก”

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง เคยมีคนแท็กรูปเก่าใน IG มาให้ เราก็ดู เฮ้ย..แท็กรูปอะไรมา…จำหน้าตัวเองไม่ได้” จ๊ะ เล่าอย่างติดตลก

เมื่อถูกถึงเรื่องนี้แล้ว หลายคนจะนึกถึง “เปิ้ล ไอริณ ศรีแกล้ว” ที่เคยได้รับผลกระทบกับการศัลยกรรม แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย นางร้ายสุดเซ็กซี่ก็ยืนยันว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเธอ เธอไม่เสียใจ!!”

pelirin1

18 ปีก่อน กับการศัลยกรรมครั้งแรก

“เปิ้ลเป็นพี่คนโต เป็นเสาหลักของครอบครัวที่มีปัญหาล้มละลาย เมื่อ 18 ปีก่อน ขณะนั้นยังเรียนหนังสืออยู่ จากนั้นได้มีการแคสติ้งเพื่อหานางแบบให้กับวิสกี้ยี่ห้อหนึ่ง โดยมีเงินรางวัล 3 แสนบาท สมัยนั้นเงินขนาดนี้ถือว่าเยอะมาก ด้วยความตั้งใจช่วยครอบครัวให้ได้ จึงได้ศึกษาเรื่องการทำศัลยกรรม ตอนนั้นเรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึง แต่เพราะอยากได้งานชิ้นนี้มาก จึงลงทุนทำศัลยกรรมด้วยการเสริมหน้าอก ในราคา 5 หมื่นบาท โดยหยิบยืมเงินจากคนใกล้ตัวมา กระทั่งทำสำเร็จ เขาเลือกเปิ้ลเป็นพรีเซ็นเตอร์ ถ่ายโฆษณา ได้ 3 แสน และภาพนิ่งอีกหลายใบ รวมเป็นเงิน 6 แสนบาท”

“ตอนทำหน้าอก เป็นอะไรที่เจ็บที่สุดในชีวิต เพราะทำแล้วก็ออกจากคลินิกเลย ไม่ได้พัก จะลุกขึ้นยืนแต่ละครั้ง ทรมานมาก บอกใครไม่ได้ อยู่คนเดียว แต่เราก็ผ่านมันมาได้”

หน้าพังเพราะของฟรี! แต่ได้เห็นธาตุแท้คน

“เปิ้ล ถือเป็นดาราคนแรกๆ ที่ออกมายอมรับว่าทำศัลยกรรม จนได้รับผลกระทบ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจ เพราะเงินที่ได้มา มาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เสียโฉม เพราะที่คลินิกแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเพื่อนไปทำศัลยกรรมที่แห่งนี้ จู่ๆ เขาเองก็เสนอจะฉีดคางให้ฟรี โดยที่เราเองยังไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะไม่ได้ตั้งใจไปทำศัลยกรรม เขาก็มาฉีดให้ เหมือนตกกระไดพลอยโจน จากนั้นจึงทำให้เปิ้ลเสียโฉม ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดนยกเลิกงาน เพื่อนที่เคยดีก็ไม่คุยด้วย ผู้ใหญ่ที่เคยรักก็ไม่สนใจ เรียกว่า เป็นช่วงมรสุมชีวิต แต่เมื่อมองอีกมุมก็เห็นสัจธรรม เพราะได้เห็นธาตุแท้ของคน มันคุ้มจริงๆ ตอนหน้าสวยมีคนรักคนเอาใจ แต่พอไม่สวย กลับทิ้งขว้าง ตอนนั้นจะรีบไปแก้เพื่อให้กลับเหมือนเดิมเลยก็ได้ แต่ไม่ทำเพราะต้องการดูธาตุแท้ของคน เปิ้ลตัดสินใจปล่อยให้เป็นแบบนั้น 2 ปี ถือเป็นช่วงลองใจคน”

“ในชีวิตไม่เคยเสียใจกับอะไร เพราะเปิ้ลทำงานหาเงิน เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวมาตลอด ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว ครอบครัวเปิ้ล ทุกคนเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้อยู่คนเดียว มีเวลาว่างก็ไปเที่ยวหาความสุข สำหรับร่างกาย ตอนนี้ยังไม่มีผลกระทบอะไร เพราะสิ่งที่เราทำถือว่าใช้ของดี มันเลยยังไม่มีผลกระทบมาก อย่างเช่น จมูก ก็ใช้กระดูกของตัวเอง เลยไม่มีปัญหา ถามว่าเสพติดหรือไม่ เปิ้ลคิดว่าไม่” ดาราสาว กล่าว

จิตแพทย์เตือน เสพติดศัลยกรรม เสี่ยงโรคซึมเศร้า..เสี่ยงฆ่าตัวตาย

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน จิตแพทย์ชื่อดัง และ ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์​ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า มีคนบางกลุ่ม ที่มีความรู้สึกไม่พอใจในหน้าตาหรืออวัยวะของตนเอง จากนั้น ก็พยายามไปแก้ไขด้วยการทำศัลยกรรม ทำแล้วก็ไม่พอใจ ไปแก้อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นเกินพอดี ผลที่ได้ก็คือการสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง เดือดร้อนทั้งร่างกายและจิตใจ จนทำให้เกิดสภาวะความเครียด วิตกกังวล ทางการแพทย์เขาเรียกว่า Body Dysmorphic Disorder โรควิตกกังวลไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเอง คนที่เป็นโรคนี้ ส่วนใหญ่จะไม่มาหาจิตแพทย์ เพราะเขาไม่ได้คิดว่ามันผิดปกติที่จิตใจ แต่เขาจะไปหาศัลยแพทย์ เพราะเขาคิดว่าผิดปกติที่หน้าตา

นพ.ทวีศิลป์ เตือนว่า หากใครสังเกตว่าตัวเองไม่พอใจในรูปร่างหน้าตา หรือ ญาติพี่น้องมีอาการแบบนี้ เราต้องหาสาเหตุก่อนว่าทำไมเขารู้สึกแบบนั้น ถ้ามาจากความวิตกกังวลที่สูงเกินไป ก็อาจจะต้องใช้ยา หรือถ้าไปชอบดารา หรือมาจากสังคม ก็ต้องหาทางแก้ในด้านจิตใจกันต่อไป

“หากมีอาการแบบนี้นานๆ จะส่งผลให้เกิดการซึมเศร้า เพราะไม่พึงพอใจกับรูปร่างที่ตัวเองมี ทำให้เกิดความทุกข์อยู่เรื่อยๆ เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ก็อาจจะถึงขั้นฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะบางรายไปแก้แล้วไม่เป็นอย่างที่คิดก็จะทำให้เกิดการคิดสั้นได้”

จิตแพทย์ชื่อดัง กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องศัลยกรรม เป็นเรื่องยอมรับมากขึ้น หากเป็นเด็กก็ไม่แนะนำให้ทำ หากบรรลุนิติภาวะแล้ว อย่างน้อยก็ต้องไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน ควรจะอธิบายมากกว่าเรื่องรูปร่างหน้าตาที่ตัวเองต้องการ แพทย์ที่รับรู้อย่างดี จะมีการพูดคุยถึงความวิตกกังวลและการคาดหวัง ถ้าคนไหนทำมาแล้วไม่ได้ผลดังใจ ก็ต้องเปิดใจยอมรับว่า วิธีแก้ไขไม่ใช่เรื่องศัลยกรรมอย่างเดียว แต่ควรมีจิตแพทย์ร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

 

ขอบคุณที่มาจาก ไทยรัฐ

เรื่องน่าสนใจ