ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ

ข้อมูลจากสำนักงานด้านการศึกษาของสหรัฐประจำเดือน ก.ค. 58 เผยให้เห็นสถิติที่น่าตกใจ หลังพบว่ามีชาวอเมริกันกว่า 6.9 ล้านคน ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวในเรื่องการชำระหนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 360 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐถือว่าผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้หนี้จากภาคการศึกษาของสหรัฐในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาขยายตัวถึง 3 เท่า อยู่ที่ 1.19 ล้านล้านดอลลาร์ และมีประชากรสหรัฐที่อยู่ในวงจรหนี้ประเภทนี้กว่า 43 ล้านคน

14409188921440918920l

แม้จำนวนของผู้ที่เบี้ยวหนี้การศึกษาเพิ่มขึ้นเพียง 6% จากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นจำนวนเพียง 400,000 คน แต่หากมองในภาพรวมแล้ว ตัวเลขดังกล่าวนั้น สะท้อนสถิติที่น่าสนใจว่า กว่า 17% ของผู้ที่เข้าร่วมโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษาซึ่งสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐมี แนวโน้มที่จะชักดาบ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะได้ออกมาตรการผ่อนผันให้ผู้กู้สามารถชำระหนี้ในแต่ละงวด ด้วยจำนวนเงินที่ลดลงบ้างแล้วก็ตาม

ตัวเลขของผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ยังสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่มีอัตราว่างงานลดลง และหนี้ในเซ็กเตอร์อื่น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ใช่หนี้อสังหาริมทรัพย์มียอดลดลง

วอลล์สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า จำนวนบุคคลที่ผิดนัดชำระหนี้เพื่อการศึกษาที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในภาพใหญ่ของสหรัฐ โดยนักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาประเมินว่า การผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของผู้กู้ จะยิ่งลดโอกาสในการที่ผู้กู้จะทำธุรกรรมเพื่อกู้ยืมเงินในการซื้อสินทรัพย์ อย่างอื่นในอนาคต เช่น บ้านและรถ ซึ่งจะไปชะลอการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ การเบี้ยวหนี้ยังทำให้รัฐบาลสหรัฐมีรายได้ลดลง ซึ่งหมายถึงงบประมาณที่จะหมุนเวียนไปสู่เยาวชนที่เข้าสู่ระบบการศึกษา และต้องการเงินสนับสนุนจากรัฐบาลในอนาคต

ด้าน นิตยสารฟิลาเดลเฟีย บิสซิเนส เจอร์นัล ยังเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า จำนวนการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น เชื่อมโยงกับการลดจำนวนลงของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจกว่า 50% ของภาคเอกชนในสหรัฐ โดยเมื่อเปรียบเทียบจำนวนหนี้ภาคการศึกษาที่ขยายตัวขึ้น 2.7% พบว่า จำนวนการจัดตั้งบริษัทขนาดเล็กลดลงถึง 17% โดยส่วนใหญ่เป็นเพราะนักธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นกิจการ ไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขในการกู้ยืมเงินได้ เนื่องจากเป็นหนี้การศึกษา

แน่นอนว่าการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ถือเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอเมริกันหลายล้านคน แต่ปัญหาคือ ชาวอเมริกันส่วนมากมองว่า การชำระหนี้เพื่อการศึกษา ภายใน 10-15 ปีเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ และหลายคนหลีกเลี่ยงที่จะชำระหนี้ โดยอ้างว่ามีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นในการดำรงชีวิตที่สำคัญกว่า โดยนาเวียนต์ หนึ่งในบริษัทที่ดูแลเรื่องการจัดเก็บหนี้ภาครัฐบาลระบุว่า 90% ของคนที่เบี้ยวหนี้ไม่เคยหารือกับบริษัทถึงการไกล่เกลี่ยหนี้เลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะเข็นโครงการผ่อนชำระหนี้ที่อิงจำนวนเงินที่ต้องชำระอยู่บนพื้นฐานรายได้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา มีรายได้โดยเฉลี่ยหลังจบการศึกษาเพียง 8,900 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น และบ้างศึกษาในหลักสูตรราคาแพง และบ้างออกจากสถานศึกษากลางคัน โดยที่ยังไม่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งยิ่งส่งผลกับรายได้ในอนาคต

โดยในระยะยาว มูลค่าหนี้ที่เติบโตขึ้นจะยิ่งเป็นภาระกับลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งนายโรหิต โชปรา อดีตเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปกป้องผู้บริโภคด้านการเงิน ระบุกับฮัฟฟิงตัน โพสต์ว่า หน่วยงานภาครัฐของสหรัฐต้องช่วยลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง เพราะแนวโน้มที่หนี้ในภาคการศึกษาจะเป็นตัวถ่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามกันได้ง่ายๆ

เรื่องน่าสนใจ