ผู้สื่อข่าวโดดเด่นดอทคอม รายงานว่า วันนี้ ( 14 มิ.ย. 2560 ) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การดำเนินการบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ เป็นความร่วมมือหน่วยงานในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ
โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้วางแผนดำเนินการมาหลายปี ที่ต้องการให้เด็กได้วัคซีน เพื่อหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โดยในระยะแรกยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะวัคซีนมีราคาแพงเข็มละ 1,000 กว่าบาท ทำให้ไม่สามารถจัดหาได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย แต่เมื่อราคาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติต่อรองได้ราคาที่ 375 บาท ที่จะช่วยลดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ถือว่าเป็นความคุ้มค่าที่จะนำมาใช้ แต่ได้รับการคัดค้านจากกลุ่มประชาสังคมเพราะราคายังแพง
กระทรวงสาธารณสุขต้องคำนึงถึงความคุ้มทุน ตามข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่เสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งแนะนำของ ดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ที่ให้ยึดหลัก คือคุ้มค่ากับคุ้มทุน ทำให้เกิดการหารือในเชิงนโยบายจะทำอย่างไรที่จะซื้อได้ถูกกว่านี้ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันโรค มีความคุ้มทุนกับการนำมาใช้และช่วยให้คุ้มค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยลงได้
ขณะนี้สายพันธุ์ของวัคซีนมีขายในประเทศไทย มี 2 บริษัท คือบริษัทที่มี 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18 และบริษัทที่มี 2 สายพันธุ์ คือ 16,18 ซึ่งสายพันธุ์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกใช้แค่สายพันธุ์ 16 กับ 18 ก็เพียงพอแล้ว ส่วนสายพันธุ์ 6 กับ 11 เป็นเรื่องของหูด ส่วนใหญ่จะใช้ในในกลุ่มชายรักชาย
ดังนั้น กรมควบคุมโรคได้เสนอว่าควรจะเป็นชื่อสามัญ เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทเข้าร่วมในการเสนอราคา เกิดการแข่งขันโดยเสรี ซึ่งคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติก็ยืนยันว่ามีประสิทธิผลเท่ากัน และคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเห็นชอบให้เพิ่มวัคซีนเอชพีวี เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์และ 2 สายพันธุ์
ทางองค์การเภสัชกรรมและกรมควบคุมโรคจึงทำการจัดซื้อด้วยวิธีประกวดราคา จากราคาที่คณะกรรมการยาหลักแห่งชาติกำหนดไว้ที่ราคา 375 บาท ทำให้จัดซื้อได้ที่ราคา 279 บาท จากจำนวนที่ต้องการ 4 แสนโด๊ส วงเงิน 302.46 ล้านบาท ทำให้ประหยัดงบประมาณของประเทศได้ 36.8 ล้านบาทและได้วัคซีนที่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยได้
โดยการฉีดวัคซีนเอชพีวีจะฉีด 2 เข็มห่างกัน 6 เดือนในเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศ จะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนสิงหาคม 2560 นี้