สมัยรักกันใหม่ๆ บรรยากาศของความรักจะมีลักษณะที่คู่เลิฟทั้งสองฝ่ายมักอยากอยู่ใกล้กันตลอดเวลา บางทีสาวก็เป็นฝ่าย (ชอบทำตัว) ติดกับหนุ่ม บางคู่หนุ่มก็เป็นฝ่าย (ชอบทำตัว) ติดสาวเอง แต่ว่ามะ หนุ่มที่ทำตัวติดสาวสุดเลิฟของเค้านี่น่ารักดีนะ เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลา (ตรงนี้เป็นข้ออ้างรึเปล่าไม่รู้) ที่จะมาอยู่กับ “สาวที่เค้ารักบ้าง-ไม่รักบ้าง” เอ้ย “รัก” เท่าไหร่ ตรงข้ามกับสาวบางคนที่ “ติดแฟน” มากขนาดไปนั่งเฝ้า
แต่ “การอยู่ใกล้กันตลอดเวลา” นั้น ขอบอกเลยค่ะว่า พอเวลาผ่านไปสักระยะ พวกคุณทั้งสองคงไม่อยาก “ติดกัน” เหมือนเดิมเท่าไหร่แล้ว จะว่าเป็นเพราะความรักเสื่อมคลายก็คงไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะแต่ละคนอยากมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างมากกว่า โถ…ทุกคนย่อมอยากมีเวลาส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น ใครจะอยู่ “ติดกัน” ตลอดได้เรื่อยๆน้อ หนำซ้ำความรู้สึกหรืออารมณ์อยากมี “สเปซ” (พื้นที่) เป็นของตัวเองมักเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติซะด้วย เชื่อไหมว่า ยิ่งคุณให้เวลา “สุดที่รัก”เป็นของเค้าเองมากเท่าไหร่ เค้าจะยิ่งรักและคิดถึงคุณมากเท่านั้น แต่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า งั้นคู่รักตกลงมาแยกบ้านกันอยู่ซะเลยจะได้รักกันมากขึ้นก็ไม่ใช่นะ อย่างนี้ก็เกินไป แบบนี้เค้าเรียกว่า แยกกันอยู่เพื่อเตรียมหย่าซะมากกว่า ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่เกริ่นมาข้างต้น และไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นกับคู่ไหนเลย ตรงข้ามอยากให้ทุกคู่ เลิฟกันนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ซึ่งการปล่อยให้แต่ละฝ่ายได้มีเวลาเป็นของตัวเอง (บ้าง) นั้น คงต้องมีการพูดคุยตกลงกันก่อนด้วย ไม่งั้นอาจเกิดความเข้าใจผิดขึ้นมาก็ซวยสิ เนื่องจากของพรรค์นี้คิดเองเออเองไม่ได้นะฮ้า ควรช่วยกันคิด ช่วยกันแสดงความเห็นไปในทางที่สอดคล้องกันมากกว่าว่า ต่อไปนี้เราจะมีเวลาส่วนตัวกันเมื่อไหร่หรือวันไหนบ้าง ส่วนแต่ละฝ่ายอยากจะนำ “เวลาหรือนาทีทองนี้” ไปทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ มีทั้งอยู่ตามลำพังเพื่อทำอะไรก๊อกๆแก๊กๆ ของตัวเองไปเรื่อย หรือใช้เวลานี้ไปมีกิจกรรมกับเพื่อนๆ ก็แล้วแต่ความประสงค์อันบรรเจิดของแต่ละคน ดังนั้น ขั้นแรกเลย ควรตกลงเรื่องเมื่อไหร่ที่แต่ละฝ่ายควรมีเวลาเป็นส่วนตัวก่อนดีกว่า ยกตัวอย่าง ถ้าคู่รักที่ทำงานแล้วและอยู่ออฟฟิศเดียวกัน ก็ตกลงกันว่า ใน 1 สัปดาห์ต่างฝ่ายจะมีสักวันนึงเป็นวันที่ไม่เจอกันดีไหม? ส่วนจะเป็นวันธรรมดา (หลังเลิกงานไม่เจอกัน) หรือวันหยุด (ไม่เจอทั้งวัน) ก็ตกลงกันเองได้นี่เนอะ แต่ว่ากันตามตรง ทุกคู่ไม่ว่าแต่งงานแล้วหรือยังไม่ได้แต่งงานก็เลือกที่จะมีเวลาเป็นของตัวเองได้ สัปดาห์ละ 1-2 วัน ซึ่งหากตกลงกันได้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แถมการตกลงยังควรมีความยืดหยุ่นด้วยนะฮ้า ถึงจะแจ๋วที่จริงคู่รักจะคุยอะไรกันก็ทำได้สบายๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าคู่ไหนไม่พูดหรือคุยกันไม่ได้นี่คงไม่ต้องบอกว่ายังรักกันหรือเปล่า? งั้นมาดูดีกว่าว่า คนรักกันเค้าควรคุยอะไรกันบ้าง? เป็นการแบ่งปันเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปด้วยดี ได้แก่
1.คุยถึงแผนการที่จะทำในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าฝ่ายหนึ่งอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุด มักชวนให้อีกฝ่ายไปด้วย เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันว่า วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พวกเราจะไปจังหวัดนี้นะ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าไปบ้างก็ช่วยกันหาข้อมูล โดยทั้งสองฝ่ายมักคุยกันไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างนี้เสมอ การคุยถึงแผนในอนาคตแบบนี้ดีนะ ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้ล่วงหน้า และแสดงว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังเจ๋งเป๋งรักกันดีอยู่ ไม่ใช่ไม่คุยให้รู้อะไรกันเลย แปลว่าต่างคนต่างอยู่น่ะซี
2.คุยเรื่องหน้าที่การงาน บางทีฝ่ายหนึ่งได้เลื่อนตำแหน่งหรือได้ขึ้นเงินเดือนก็มาเล่าให้อีกฝ่ายฟัง อย่างนี้น่ารักเนอะ กระนั้นแม้แต่เรื่องที่ตัวเองโชคร้ายก็นำมาเล่าให้อีกฝ่ายฟังด้วยยิ่งดี เป็นคู่กันก็ควรเป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขสิคะ ไม่ใช่เค้าทุกข์แต่ชั้นไม่สน ระวังเหอะ เดี๋ยวเค้าก็ไม่สนคุณบ้างแล้วจะชีช้ำนะยะ
3.คุยเรื่องงานอดิเรก เค้าชอบทำอะไรบ้าง? เมื่อเล่าให้คุณฟัง เช่น ถ้าเค้าชอบดูหนัง ดูคอนเสิร์ต อีกฝ่ายนึงก็น่าจะชอบบางอย่างที่คล้ายๆกัน เพื่อจะได้ไปเป็นเพื่อนกันได้ ส่วนความสนใจของคุณก็ควรเล่าให้เค้าฟังด้วย หากคุณชอบงานอดิเรกไปเดินช็อปปิ้งมาก แม้เค้าไม่ใช่คนชอบช็อป แต่เพื่อคุณ บางทีเค้าก็ไปด้วย แต่ไปด้วยไม่ได้หมายความว่าจะซื้อของอะไรให้นะ อิอิ ไม่งั้นฝ่ายหญิงคงช็อปแหลกเลยสิท่า
4.ความหวังและความฝันของแต่ละคน ถ้าเค้าฝันอยากเป็นเชฟ แทนที่จะเป็นพนักงานออฟฟิศอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คุณก็ควรส่งเสริมให้เค้าได้แสดงฝีมือทำอาหารตามที่เค้าต้องการบ้าง แต่ถ้าเค้าทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย ก็สนับสนุนให้เค้าไปเรียนทำอาหารพร้อมกับคุณซะเลยสิ น่ารักดีน้า แล้วเมื่อคุณส่งเสริมให้เค้าได้ทำในสิ่งที่ชอบและเป็นความฝันอย่างนี้ เดี๋ยวเค้าก็ส่งเสริมคุณด้วย ความสัมพันธ์จึงยั่งยืน…ดีจัง
5.เม้าท์ถึงเพื่อนๆของแต่ละฝ่ายให้กันและกันฟังบ้าง แต่คำว่าเม้าท์ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า จะคุยถึงแต่เรื่องที่ไม่ดีของเพื่อนแต่ละฝ่ายให้ฟังนะ นำเรื่องที่ดีๆของเพื่อนแต่ละคนมาเล่าให้กันฟังด้วยสิ อย่างนี้จะยิ่งทำให้พวกคุณทั้งคู่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น อย่างน้อยต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่า พวกเพื่อนๆของแต่ละคนนั้นเป็นแบบไหนอย่างไร เวลาเจอตัวจริงจะได้วางตัวถูก และพูดคุยด้วยอย่างสบายใจ.
ขอขอบคุณ Thairath