ผมได้รับการติดต่อจาก อ.เต้ย ให้ไปกินร้านโอชาด้วยกัน “น้าเมฆรู้มั้ย ตอนนี้ร้านอาหารไทยดีๆ มีหลายร้าน แต่ผมอยากให้คุณได้มาลองกินร้านโอชานี้ก่อน..รับรองไม่ผิดหวัง” ตัวผมพอจะรู้จักร้านโอชามาบ้างเพราะสมัยที่เคยไปเที่ยวเมืองซานฟรานซิสโก เพื่อนเคยพาไปกินร้านนี้ ดาราดังๆ ที่ไปเรียนต่อเมืองนอกก็มาทำงานพิเศษร้านนี้กันมากมาย อีกทั้งล่าสุด ผมเคยเห็นเพื่อนโพสต์คลิปการทำต้มยำกุ้งของร้านโอชา เลยทำให้ผมตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
อ.เต้ย นัดผมเวลาหนึ่งทุ่ม ผมดูแผนที่แล้วผมเลือกที่จะขับรถไปดีกว่า เพราะร้านอยู่บนถนนวิทยุ ตรงหัวมุมทางเข้าซอยร่วมฤดีเลย ร้านตั้งโดดเด่นเป็นสง่าสะดุดตาด้วยสีชมพูและทองอร่าม ใครเลือกที่จะขับรถไปแบบผม ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จอดครับ มีทั้ง Valet Parking และที่จอดรถ 3 ชั้นบนตึกที่ติดกัน
ผมว่าด้านนอกสวยแล้ว พอเข้าด้านในยิ่งว้าวครับ ด้านหน้าเป็นโถงสูง บนกำแพงมีลายประจำยามซึ่งเป็นลวดลายไทยสีทองไล่ขึ้นไปจนถึงเพดาน ขนาดผมเป็นคนไทยยังทึ่ง ถ้าพาเพื่อนต่างชาติมาด้วยคงตะลึงไปเลยครับ…อ้าว อ.เต้ย มาพอดี เข้าไปด้านในห้องอาหารกันดีกว่า
ผู้จัดการร้านพาผมและ อ.เต้ย เดินชมรอบๆ ร้านก่อน ด้านบนมีที่นั่งพอสมควร จะนั่งแบบ Balcony Theatre ยื่นออกมา หรือถ้าอยากเป็นส่วนตัวจะเข้าห้อง Private ก็ได้เช่นกัน ผนังของชั้นบนมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือ Chandelier ที่บันไดทางขึ้นเป็นชฎาสีทองอร่าม ทราบมาว่าชฎานี้สั่งแกะสลักแล้วนำลงมาจากเชียงใหม่ โดยมีมูลค่าถึงเจ็ดแสนบาทเลยทีเดียวครับ
คุณแมว เลขาฯ ของเจ้าของร้านมาพร้อมกับเชฟปู ผมแปลกใจเล็กน้อยว่าเชฟประจำร้านนี้เป็นผู้หญิงเหรอเนี่ย อ.เต้ย ให้เครดิตว่า เชฟปูเป็นเชฟผู้หญิงคนแรกที่โค่นเชฟเอียน (เชฟกระทะเหล็ก) ลงได้ เรียกว่าเป็น The First Female Iron Chef Winning Challenge เราลงไปนั่งที่โต๊ะด้านล่าง ผมสอบถามคุณแมวเกี่ยวกับประวัติของร้านโอชาว่ามาเปิดที่เมืองไทยได้อย่างไร คุณแมวเล่าให้ฟังว่า โอชาเป็นร้านอาหารไทยชื่อดังในประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 20 ปี มีอยู่ 8 สาขาทั่วเมืองซานฟรานซิสโก
คุณหมอวุฒิศักดิ์ (เจ้าของร้านโอชา ประเทศไทย) ได้สร้างวุฒิศักดิ์คลินิกจนประสบความสำเร็จมาแล้วและขายหุ้นให้แก่เพื่อนไปบริหารกิจการต่อ คุณหมอวุฒิศักดิ์สนใจเรื่องอาหาร พอดีได้รู้จักกับเจ้าของร้านโอชาที่เมืองซานฟรานฯ จึงขอนำชื่อร้านนี้มาเปิดกิจการที่เมืองไทย โดยจะทำร้านอาหารแบบ Thai Modern ให้ลูกค้าจะได้รับรสชาติความเป็นไทยผ่านอายตนะทั้งหก อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และจิตใจ …เห็นจะจริง เพราะขนาดยังไม่ได้รับประทานอาหาร ผมยังเพลิดเพลินไปกับ Light & Sound ของร้านเลยครับ คุณแมวบอกว่า ช่วงหัวค่ำ ไฟในร้านยังสว่างหน่อย จะมีภาพแอนิเมชั่นเป็นเรื่องรามเกียรติ์ เสียงดนตรีไทยคลอเบาๆ แต่เมื่อดึกขึ้น ไฟจะค่อยๆ น้อยลง เพลงจะเปลี่ยนไป บีทจะหนักขึ้น แอนิเมชั่นไทยจะกลายเป็นกราฟิกอื่น
ผมถามถึงชฎาที่ใหญ่โตที่บันได คุณแมวบอกได้วางคอนเซปต์ร้านเป็นโรงมหรสพ อย่างที่เห็นว่ามี Balcony ยื่นออกมา มีลวดลายประดับตกแต่งเป็นลายไทย ชฎาเป็นเครื่องสวมศีรษะที่งดงามสำหรับใช้ในการแสดง จึงเหมาะที่จะมาประดับตกแต่งที่เข้ากับธีมที่สุด
คุณแมวเสริมต่ออีกนิดว่า ทางร้านมีประมาณ 130 ที่นั่ง ด้านล่างที่ตรงนี้มี 70 ที่นั่ง ข้างบนราวๆ 50 ที่นั่งและมีห้อง Private อีก 12 ที่นั่ง
พนักงานเสิร์ฟนำไก่สะเต๊ะพอดีคำ เป็น Amuse Bouche มาเรียกน้ำย่อย ต่อด้วย Garden Talk Crispy & Berry Sauce เป็นอาหารเซตแรกที่มาเสิร์ฟ ผมบิข้าวเกรียบที่โรยหน้าด้วยกลีบดอกไม้หลากสีสันออกมากินเปล่าๆ ก่อน ไม่น่าเชื่อว่ากินแล้วเพลินแบบหยุดไม่ได้ครับ แต่ อ.เต้ย บอกว่าต้องตักน้ำซอสลูกหม่อนมาราดด้วย โอ้…ยิ่งอร่อย จะกินแบบแฉะๆ ก็อร่อย (เม็ดขาวๆ คล้ายสาคูนั่นคือกะทินะครับ…ทำซะสวยเลย) หรือจะกินแบบเนื้อๆ ก็ตักให้ได้เนื้อลูกหม่อนด้วยก็อร่อยไปอีกแบบครับ
เชฟปูมาพอดีบอกว่าทั้งเซตนี้เรียกว่า Osha – The flora Set (ราคา 2,200 บาทต่อท่าน) ทุกเมนูที่จะเสิร์ฟจึงเกี่ยวข้องกับดอกไม้ อย่างที่โรยบนข้าวเกรียบก็มีกลีบดอกกุหลาบสีชมพู ดอกกุหลาบสีขาว ดอกกุหลาบสีแดง ดอกอัญชัน และดอกดาวเรือง ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย ดอกไม้ทุกชนิดปลูกแบบออร์แกนิค กินได้ทุกกลีบครับ
เซตต่อมาเปิดฝาครอบแก้วแล้วพบว่าคล้ายกับลูกชิ้นเสียบไม้ แต่สีสันสวยงามเหมือนลูกกวาด อ.เต้ย แซวว่าเป็นดังโงะของญี่ปุ่น เคี้ยวแล้วจะเหนียวหนึบ เชฟปูบอกว่าเซตนี้คือ Triple Senses of Deep Blue Marine เป็นขนมต้มไส้ปลาดอกอัญชัน แป้งทำจากแป้งข้าวเหนียวทำให้เหนียวหนึบ ผสมกับสีธรรมชาติอย่างใบเตย ดอกอัญชัน ทำให้ได้สีออกมาสวยงาม สูตรเด็ดคือไส้ปลาที่ทำมาจากปลาร้า แต่ใครกินแล้วจะไม่ทราบเลย เพราะผ่านกรรมวิธีปรุงมาอย่างดี และเห็นผิวฉ่ำๆ จะทาด้วยน้ำมันปลาร้าอีกทีให้มีกลิ่นหอม วิธีกินก็ให้นำขนมต้มจิ้มกับงาขาวงาดำ แล้วกินแกล้มกับผัก
อ้า…มีแทรกคิวเข้ามาคือ ปลาหมึกผัดไข่เค็ม เป็นจานโปรดผมเลย ปลาหมึกนำมาผัดจนกรอบคลุกกับไข่เค็มไชยา โอ้โห มันๆ กลมกล่อม บีบมะนาวลงไปนิดนะครับ..ฟินเลย ตอนผมยกมะนาวขึ้นมา ปรากฏว่ามีรูเล็กๆ ให้ควันออกมาด้วย เป็นควันจากมะพร้าวเผาด้านล่าง กลิ่นหอมออกมาเลยครับ ทำให้ได้เซนส์ของกลิ่นและรสชาติไปพร้อมๆ กัน
จานต่อไปถูกใจสาวๆ แน่นอนครับ ทั้งสวยและอร่อย Osha Ocean & Flora Salad หอยเชลล์สดๆ ราดด้วยน้ำฟักข้าวและน้ำผักชีรสแซ่บ เวลากิน ผมจะกวาดกลีบดอกไม้ขอบจานลงมากินด้วยกัน จานนี้เหมาะกับหญิงไทยสมัยนี้มากครับ ทั้งสวยทั้งแซ่บจริงๆ เผ็ดกำลังอร่อยครับ
เซต Red Velvet Spell Over Charming Fish มาแบบสวยงามอลังการ ชิ้นปลาเต๋าเต้ยวางเรียงเป็นกลีบดอกบัวอย่างสวยงาม เชฟปูคีบเนื้อปลาออกมาจิ้มจุ่มลงในซุปร้อนรสแซ่บ แล้ววางบนกลีบดอกบัว ตักแจ่วดอกขิงแดงรสเผ็ดหรือจะเป็นแจ่วดอกมะเขือรสเปรี้ยว เวลากินก็ใส่ทั้งกลีบดอกบัว เนื้อปลา และแจ่วเข้าปากพร้อมกันหมด จะกินสลับแจ่วไปมา แล้วตามด้วยน้ำซุปแซ่บๆ ก็คล่องคอดีครับ
จานนี้พิเศษสำหรับ อ.เต้ย ทางร้านรู้ว่า อ.เต้ย ชอบกินสเต๊ก แต่อันนี้เป็นสเต๊กแบบไทยๆ ไม่มีในเมนู เชฟปูนำเนื้อออสเตรเลียมาย่างแบบสเต๊ก แต่จิ้มกินกับแจ่วแบบไทยๆ ผมได้ลองชิม อร่อยสุดยอดครับ (ควรใส่จานนี้เพิ่มลงไปในเมนูโดยด่วน!)
ส่วนเมนู “ต้มยำกุ้ง” เป็นการร้องขอโดยผมเอง เพราะเคยเห็นคลิปมาก่อนว่าใช้เครื่องทำกาแฟแบบไซฟ่อนมาทำต้มยำกุ้งได้อย่างไร เริ่มด้วยใช้ไฟลนให้ความร้อนด้านล่างจนน้ำเดือด น้ำเดือดด้านล่างจนถูกดันขึ้นไปด้านบนที่มีพวกเครื่องเทศ เช่น ข่า หอมแดง และใบมะกรูดรออยู่แล้ว ส่วนผสมจะคลุกเคล้าเข้ากันและน้ำซุปจะไหลกลับลงไปด้านล่างอีกครั้ง หลังจากนั้นเทน้ำต้มยำกุ้งที่ได้รสและกลิ่นเครื่องเทศครบถ้วนลงมาด้วย หมดปัญหาที่ต้มนานจนปร่าและเพื่อนฝรั่งจะไม่กัดกินข่าโดยไม่ทราบอีกต่อไป ใครอยากได้ความแซ่บเพิ่มเติมให้บีบมะนาวและใส่พริกลงไปเพิ่มเติมได้ครับ
เซตของคาวตบท้ายคือ Rock Lobster & Amber Curry Sauce กั้งราดซอสผงกะหรี่ แนะนำให้ชิมซอสผงกะหรี่ก่อนเลยครับ รสชาติจัดจ้านมาก ตัดกั้ง (เนื้อแน่นมาก) มาพอดีคำกินคลุกกับข้าวอบเผือกนี่ยิ่งใช่เลย เชฟปูบอกว่ายังไงคนไทยก็ต้องกินข้าว จึงต้องปิดฉากสวยงามด้วยข้าวนี่เหมาะสมที่สุด แถมผมยังโดนหลอก นึกว่าเม็ดๆ จะเป็นไข่ปลาแซลมอน แต่ผิดคาดทำด้วยขึ้นฉ่ายครับ
ผมสอบถามเชฟปูว่าอาหารหลายอย่างมีรสเผ็ดชนิดที่ว่าคนไทยเองยังบอกเผ็ดเลย แล้วจะฝรั่งจะกินไหวเหรอ เชฟปูบอกว่า เธอต้องการยกระดับอาหารไทยโดยคนไทย เรากินอย่างไรก็ควรทำให้รสเป็นไทยๆ แบบดั้งเดิม แม้จะมีหน้าตาที่สวยงามและมีการนำเสนอที่แปลกตาขึ้น แต่รสชาติไทยต้องคงเดิม ฝรั่งที่ต้องการกินอาหารไทยแท้ ต้องปรับลิ้นแล้วจะรักรสชาติอาหารไทย
ปิดท้ายด้วยผลไม้และของหวานที่มาแบบควันลอยล่อง
เชฟปูแถมขนมข้าวเม่าทอดที่ตกแต่งให้ดูน่ากินแบบขนมของฝรั่ง หน้ากระฉีกเป็นน้ำตาลปี๊บคลุกกับข้าวเม่ากวนผสมกันเป็นแผ่นๆ ด้านล่างเป็นกล้วยเชื่อมและมะพร้าวขูดสีชมพู กินกับไอศกรีมเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อครับ
Soufflé of the Day วันนี้เป็นไส้ทุเรียนรสละมุนลิ้น (ไส้จะเปลี่ยนไม่ซ้ำวัน) ใครไม่ชอบทุเรียน ได้กินแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนใจครับ รสและกลิ่นทุเรียนเบาๆ อุ่นๆ กินกับไอศกรีมเย็นๆ มันดีมากครับ
ผมและ อ.เต้ย ยกให้ร้านโอชาเป็นร้านอาหารไทยที่ยอดเยี่ยมมาตรฐานระดับโลก เราชอบการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร แต่ไม่ทิ้งรสชาติความเป็นไทยเลย บรรยากาศรอบข้างทำให้ได้อรรถรสการกินแบบน่าประทับใจจนต้องกลับมาอีกแน่นอนครับ คุณแมวบอกว่า ในปีหน้าจะมีสาขาเพิ่มขึ้นอีก แต่ถ้าใครจะมากินที่ร้านนี้ รบกวนต้องสำรองที่นั่งก่อน เพราะถ้า walk-in เข้ามาอาจจะไม่มีที่นั่ง กรุณาโทรสำรองที่นั่งได้ที่ 02-256-6555 ร้านเปิดตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน อ้อ..ถ้าไปแล้ว กรุณาพกกล้องถ่ายรูปไปด้วยนะครับ ร้านนี้ตกแต่งสวยงามทั้งร้านและอาหารเลยครับ