นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝนนี้โรคที่ต้องเฝ้าระวังในทุกๆ ปี คือโรคไข้เลือดออก เนื่องจากฝนที่ตกมาทำให้เกิดแอ่งน้ำหรือมีน้ำขังอยู่ตามเศษวัสดุ ภาชนะต่างๆ จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่าที่ทิ้งไว้จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้
จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 10 สิงหาคม 2558 พบผู้ป่วยทั่วประเทศ 48,358 ราย เสียชีวิต 37 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 15-24 ปี รองลงมาคือ 10-14 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียนถึง 45.8% โดยจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ระยอง เพชรบุรี ราชบุรี และตาก
นพ.โสภณกล่าวว่า สำหรับโรคไข้เลือดออกนั้น ยังไม่มีวัคซีนที่สำเร็จรูป และยังไม่มียารักษาเฉพาะ จะเป็นการรักษาตามอาการ คือ มีการให้ยาลดไข้ เช็ดตัว และการป้องกันภาวะหากมีไข้สูงเกิน 2 วัน ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูก คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หน้าแดง อาจพบจุดเลือดที่ผิวหนัง เจ็บชายโครงด้านขวา มักจะไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก
ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากการเป็นหวัดที่จะมีน้ำมูกร่วมด้วย เว้นแต่จะเป็นไข้ทั้งสองชนิดในเวลาเดียวกัน ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรค และหากเป็นไข้เลือดออกแล้ว ช่วงที่ไข้ลดลงในวันที่ 3-4 แต่ผู้ป่วยซึมลงกินดื่มไม่ได้ มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเต้นเร็ว ปวดท้อง คือสัญญาณอันตรายของโรคนี้ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีเพราะผู้ป่วยอาจมีอาการช็อกและเสียชีวิตได้
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการป้องกันตนเอง เพื่อไม่ให้ยุงลายกัด ขอแนะนำว่าประชาชนควรนอนในมุ้ง ติดมุ้งลวด ป้องกันยุงเข้าบ้าน ทายากันยุง หรือใช้สมุนไพรไล่ยุง และปฎิบัติตามมาตรการ 3 เก็บ “เก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” เพื่อให้ทุกบ้านปรับพฤติกรรมการเก็บจนเป็นนิสัย ดังนี้
โดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำในชุมชน ครู นักเรียน และประชาชนทั่วไป ร่วมมือกันทำกิจกรรมตามมาตรการ 3 เก็บในพื้นที่ 6 ร. ดังนี้
หากมีข้อสงสัยประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422