ที่มา: Springnews

อเมเลีย-เจน แฮร์ริส หญิงสาววัย 20 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดความอ้วน โดยน้ำหนักลดลงถึง 18 สโตนหรือประมาณ 114 กิโลกรัมในระยะเวลาเพียง 20 เดือน ทำให้เธอมีน้ำหนักเหลือ 55 กิโลกรัม (8 สโตน 9 ปอนด์) จากที่เคยหนักถึง 176 กิโลกรัม (27 สโตน 10 ปอนด์) 

ทว่าหญิงสาวชาวอังกฤษผู้นี้กลับบอกว่า เป็นไปได้ขอกลับไปอ้วนอย่างเดิมดีกว่า หากลดความอ้วนแล้วต้องได้โรคเป็นของแถมอย่างที่เป็นอยู่ เนื่องจากเธอต้องเผชิญกับภาวะของโรคโครห์น (Crohn’s disease) หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้เธออย่างแสนสาหัส

141

 

โดยเธอมักมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขอีกต่อไป เพราะเมื่อใดที่รับประทานอาหารเข้าไปก็มีแต่จะทำให้ปวดท้องมากยิ่งขึ้น และต้องคอยกินยาบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ออกฤทธิ์แรงไปจนตลอดชีวิต

ก่อนหน้านี้เธอมีน้ำหนักเกินเธอถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อเลียนและกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ทำให้รู้สึกแย่กับความอ้วนของตัวเอง ก่อนที่เธอจะเครียดจัดจนมีอาการป่วยตอนอายุ 17 ปี โดยอาเจียนมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน ไม่รับประทานอาหารอย่างที่ควรจะเป็นจนน้ำหนักลดฮวบถึง 114 กิโลกรัมในเวลาเพียง 20 เดือน แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาเลวร้ายกว่าที่ใครจะคาดคิด เธอมีอาการของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังต้องรับประทานยา 70 เม็ดต่อวัน ไปจนถึง 100 เม็ดต่อวันหากวันนั้นมีอาการปวดรุนแรง

ทั้งนี้ โรคโครห์นหรือลำไส้อักเสบเรื้อรัง จะทำให้มีอาการปวดท้องแบบปวดบีบหรือปวดเกร็ง อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อุจจาระเหลวเป็นน้ำหรือมูก มีกลิ่นคาวผิดปกติเพราะมีเลือดปน เบื่ออาหาร น้ำหนักลดและมีภาวะทุโภชนา พบได้มากในคนผิวขาวประมาณ 20.2 รายต่อประชากร 100,000 คนในสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 12.7 รายต่อ 100,000 คนในยุโรป รองลงมาคือ ชาวเอเชีย 0.5-4.2 ราย ชาวแอฟริกัน 0.3-2.6 ราย และชาวละตินอเมริกา 0.03 รายต่อประชากร 100,000 คน

เรื่องน่าสนใจ