อาการแพ้ยานั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ไม่ใช่แค่ยารักษาเราไม่ได้ มันยังอาจทำลายชีวตเราด้วย เพราะเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าร่างกายนั้น ไม่สามารถรับยารักษาตัวไหนได้บ้าง นอกจากจะได้รับมันเข้าสู่ร่างกายก่อน เหมือนกับ คาลิอาห์ ชอว์ สาววัย 24 ปี เธอมี อาการของโรคไบโพลาร์และต้องกินยา Lamotrigine (ยากันชักในผู้ป่วยไบโพลาร์) ตั้งแต่ปี 2013 แต่หลังจากรับยาเข้าไปเพียงไม่ถึง 1 เดือน เธอก็มีอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรง
โดยเธอเป็นผื่นแดงบริเวณริมฝีปากและใบหน้า ก่อนที่หนังจะเริ่มลอก แต่เมื่อไปพบแพทย์กลับถูกวินัจฉัยว่าเป็นภูมิแพ้จากไข้หวัด ยิ่งไปกว่านั้น 2 วันถัดมาเธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังบริเวณใบหน้า คอ หลังและหน้าอก รวมทั้งเป็นแผลพุพองภายในปาก เธอไปพบแพทย์อีกครั้งและถูกแยกรักษา ด้วยเกรงว่าจะเป็นอาการติดเชื้อบางอย่าง
จนกระทั่งแพทย์วินิจฉัยว่า เธอมีอาการของโรคสตีเวนส์ จอห์นสัน อันเป็นผลจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อยา การติดเชื้อ การป่วยไข้ ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุผิวทั่วร่างกาย หรือเกิดจากการแพ้ยาอย่างรุนแรงนั่นเอง
เธอต้องเข้ารับการรักษาตัวในหน่วยผู้ป่วยฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเกรดีในแอตแลนตา จากนั้น 5 สัปดาห์ต่อมาก็มีอาการหายใจลำบาก และที่น่าตกใจคือ เธอไม่สามารถมองเห็นได้ ทั้งเส้นผมและเล็บของเธอก็หลุดร่วงจนหมด ส่วนผิวหนังก็ไหม้เป็นแผลพุพองและหลุดลอกเกือบร้อยละ 90 อย่างไรก็ตามเธอสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้งภายใต้การรักษาของจักษุแพทย์
ทั้งนี้ แพทย์ได้พยายามรักษาอาการป่วยของเธอจนสามารถกลับมาพักฟื้นร่างกายที่บ้านได้ หลังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 7 สัปดาห์ และทุกวันนี้ยังต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาของเธอก็ยังคงไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน 100 เปอร์เซนต์