นักศึกษาวัย 18 ปี สร้างแผนที่สายรถเมล์วาดด้วยลายมือตัวเอง ให้ ขสมก. นำไปใช้เผยแพร่ เพื่อความเข้าใจ หลังพบว่าระบบการเดินทางด้วยรถสาธารณะ โดยเฉพาะรถเมล์ในเขตกรุงเทพมหานคร ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนท้องถิ่นและคนต่างถิ่น
“ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์” ได้รับข้อมูลจาก น.ส.โชติกา ดำรงวัฒนสุข หรือ เรียม พนักงานเก็บสตางค์รถโดยสารประจำทางสาย 29 ปัจจุบันอยู่ประจำป้อมประชาสัมพันธ์ ขสมก. บริเวณป้ายรถเมล์จตุจักร ถึงที่มาของข้อมูลป้ายรถเมล์ดังกล่าว ว่า สร้างแผนที่สายรถเมล์วาดด้วยลายมือตัวเอง ให้ ขสมก. นำไปใช้เผยแพร่ จึงไปตรวจสอบ
น.ส.โชติกา เปิดเผยว่า คนทำป้ายนี้ชื่อ “กอล์ฟ” เป็นเด็กเรียนดี เคยได้รับทุนการศึกษาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น “กอล์ฟ” เป็นที่รู้จักของคนรถเมล์ทุกคน เนื่องจากเป็นเด็กดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นแฟนพันธุ์แท้รถเมล์คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ รู้ข้อมูลสายรถเมล์มากกว่าพนักงาน ขสมก. พูดได้ถึง 6 ภาษา คือ เกาหลี, จีน, เยอรมัน, เวียดนาม, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ชอบช่วยเหลือนักท่องเที่ยว พร้อมโชว์แผนที่วาดด้วยมือของเจ้ากอล์ฟ ที่ระบุข้อมูลรถเมล์ทุกสาย ที่มีจุดเริ่มต้นบริเวณป้ายรถเมล์จตุจักร
ทีมข่าวจึงได้ติดต่อไปยัง “กอล์ฟ” ทราบชื่อต่อมา นายสมวศิณ อุดมผล อายุ 18 ปี โดย นายสมวศิณ เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของการลงมือทำเช่นนี้คือ ได้ช่วยเหลือยายชราท่านหนึ่งบอกสายรถเมล์ แล้วยายท่านนั้นชมกลับมาว่า เจ้าหนูนี่ใจดีจัง เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ทำข้อมูลออกมา เพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่คนอื่นๆ ที่ต้องการขึ้นรถเมล์ โดยเริ่มทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว แต่พักหลังๆได้วางมือไป เนื่องจากต้องทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง จึงไม่มีเวลาว่างเท่าที่ผ่านมา
นายสมวศิณ เผยต่อว่า ป้ายรถเมล์ในเขตกรุงเทพมหานครนั้น ไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ใช้บริการทั้งคน กทม.เอง และคนต่างจังหวัด ยิ่งไปกว่านั้นคือ ชาวต่างชาติ เลขสายก็เลือนลาง ป้ายรถเมล์เต็มไปด้วยป้ายโฆษณา และบางสายเลิกวิ่งไปนานแล้ว แต่ก็ยังมีเลขสายปรากฏ
เมื่อสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนผู้รอรถเมล์ พบว่า แผนที่ที่ นายสมวศิณ วาดนั้น มีข้อมูลที่ชัดเจน และดูง่าย อยากเป็นกำลังใจให้น้องในการสร้างสรรค์ผลงาน ขณะที่สายตรวจ ขสมก.ท่านหนึ่งระบุว่า “จริงๆบริเวณป้ายรถเมล์จตุจักรนั้น มีศาลารอรถประจำทาง 3 หลัง แต่เต็มไปด้วยพื้นที่โฆษณา จึงอยากให้ กทม.เจียดพื้นที่ 1 ป้าย เพื่อให้ข้อมูลสายรถเมล์ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการมากกว่าป้ายโฆษณา”.
ขอบคุณที่มา ไทยรัฐออนไลน์