โลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวน่าชื่นชมและประทับใจ จากผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ “Sitthisuk Aiyara” เป็นเรื่องราวของแพทย์จบใหม่ท่านหนึ่ง ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ช่วยเหลือผู้โดยสารบนเครื่องบิน โดยเล่าว่า
“ประสบการณ์นั่ง Business Class ครั้งแรก จากนักท่องเที่ยวกลายเป็นหมอบนเครื่องบิน คือวันนี้ระหว่างหลับอยู่ในเครื่อง ได้ยินเสียงคำว่า doctor doctor เลยสะดุ้งตื่น (เราใส่หูฟังที่เครื่องบินให้มาอยู่ เนื่องจากดูหนังค้างไว้) ตอนแรกคิดว่าฝัน แต่เสียงมันดังขึ้นมาอีกครั้ง จับใจความได้ว่า ตอนนี้มีผู้ป่วยหายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก ถ้าผู้โดยสารท่านใดเป็นหมอให้แสดงตัว ความรู้สึกที่แล่นเข้ามาคือ เอาไงดีๆๆ มีหมอท่านอื่นไหม มีหมอที่จะมีประสบการณ์มากกว่าเราไหม
ยังไงดีๆ พึ่งจบหมอสามปีเอง ยังไงดีๆ ขณะเดียวกันก็รีบดันตัวขึ้น นั่งตรง เพื่อดูสถานการณ์ (คือเตี้ยอะ ตอนแรกหัวไม่พ้นเบาะข้างหน้า เลยถูกบัง) ปรากฎว่าคนไข้อยู่ห่างจากเราไปข้างหน้า ประมาณ4-5 แถว แล้วคือคนก็รุมๆกัน คนไข้เป็นหญิงชาวอาหรับซึ่งอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงจริงๆ
ตอนนั้นคือ เอาว่ะ ทำให้ดีที่สุด ก็เหมือนตรวจคนไข้แบบที่เคยทำมาตลอดแหละ เราก็เลยวิ่งไปดูคนไข้ ถามว่าเป็นยังไงบ้าง คนไข้ก็พูดภาษาที่เราไม่คุ้นหูกลับมา แต่ลูกสาวคนไข้สื่อสารได้ดีมาก ใช้ภาษาอังกฤษได้ เลยคอยเป็นคนกลางให้ คนไข้บอกเวียนหัว เหมือนหน้าจะมืด รู้สึกหายใจไม่สะดวก มือเราก็จับชีพจรคนไข้ไปด้วย ซึ่งรู้สึกว่า เบามาก (ไม่full) จึงหันไปบอกกับสจ๊วตและแอร์ ให้จับคนไข้นอนลงเอาออกซิเจนมาให้ และขอsteth มาให้ผม เอามือไปตรวจที่คอ ชีพจรยังโอเคอยู่
ลูกสาวแจ้งเพิ่มว่า คนไข้มีโรคประจำตัวเป็น โรคหัวใจ เราจึงให้เค้าเอายามาให้เราดู สรุปมีทั้งยา เบาหวาน ความดัน ไขมัน ยาหัวใจ ระหว่างนั้นเอา steth ฟังปอด clear ดี หัวใจไม่มี เสียงผิดปกติ ตรวจขาสองข้าง ไม่บวม ไม่คล้ำ ไม่มีปากเบี้ยวหน้าเบี้ยวอะไร หันไปบอกให้สจ๊วตเอาที่วัดความดันมาให้”
ระหว่างนั้น ก็เลยว่าจะให้น้ำเกลือคนไข้ ใส่ถุงมือเรียบร้อย ให้เอา สายรัดแขนมา ( ได้สาย foley cath.ในตอนแรก) พอรัดเสร็จ เห็นเส้นคนไข้ลางๆ (คนไข้เป็นคนรูปร่างใหญ่ เส้นค่อนข้างหายาก) จะเริ่มทำการเจาะเส้นให้สารน้ำ ปรากฎเข็มที่ให้มา เป็นแบบเข็มเจาะเลือด ไม่ใช่เข็มให้น้ำเกลือ ต้องไปเอาใหม่
ตอนนั้นคือ ชุลมุนมากๆ พอได้เครื่องวัดความดันมา ซึ่งใหม่มาก ห่ออย่างดี ต้องมาประกอบเองอีก พันแขนคนไข้เรียบร้อย จะกดให้เครื่องวัด ไม่ทำงานอีก ตาเหลือบไปเห็นถุงใส่ถ่านเปล่าอยู่4 ก้อน จึงรีบหงายเครื่องวัด เปิดฝาออก พบว่าไม่มีถ่านจริงๆ จึงใส่เข้าไปและวัด พบความดันอยู่ในเกณฑ์ปกติดีแล้ว คนไข้บอกไม่ต้องให้น้ำเกลือแล้ว หลังได้ออกซิเจนดีขึ้นแล้ว ไม่แน่นหน้าอก หายใจสะดวกขึ้น เราคลำชีพจร ตอนนี้เต้นแรงดีเลย วัดความดันซ้ำ ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หมอหนุ่ม จิตใจดี…ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
หลังจากนั้นเค้าก็พาคนไข้ไปนอน business class (ตอนแรกคนไข้นอนตรงพื้น ฝั่ง Economic ค่อนข้างแคบขวางทางเดิน) เราบอกให้เค้าเอา oxygen ไปครอบไว้ก่อน หัวหน้าให้เราย้ายจาก Economic class ไปนั่งข้างๆ คอยดูอาการเป็นระยะ และเขียนอาการ+การรักษาเพื่อให้คนไข้นำไปโรงพยาบาล หรือให้หมอประจำตัว หัวหน้าให้ แชมเปญ เรามาขวดนึง เป็น complimentary
จริงๆ เราว่าเราแทบไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย แต่ลูกสาวคนไข้ ขอบคุณเราหลายรอบมาก จนรู้สึกเขินเลย ตัวคนไข้ก็ยกนิ้วโป้ง กับ ทำนิ้วโอเคเป็นระยะๆ เพราะเราหันไปมองบ่อยมาก5555″
หมอหนุ่มรูปหล่อ เล่าช่วงท้ายว่า “สรุปเราดีใจนะ ที่เราได้เป็นหมอ เราดีใจนะ ที่เรากล้าออกมาทำอะไรแบบนี้ จริงๆมันอาจไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรหรอก แต่มันทำให้รู้สึกมีคุณค่าในตัวเองมากขึ้น มาโพสต์ ไม่ได้หวังว่าจะให้หมั่นไส้ หรือ จะมาอวดอะไรนะครับ อย่าว่าผมเลยนะครับ แต่หวังให้คนที่อ่าน กล้าที่จะทำสิ่งดีๆ ทำเถอะครับ ถ้าการกระทำนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แถมยังเกิดประโยชน์กับผู้อื่นอีก”
โดยหลังจากวันที่โพสต์จนถึงปัจจุบัน มีผู้แชร์ข้อความดังกล่าวต่อกว่า 7 พันครั้ง กดไลค์กว่า 5.5 หมื่นคน และมีกว่า 1.5 พันคนแสดงความเห็นชื่อนชมในความกล้าตัดสินใจ
ภาพจาก Sitthisuk Aiyara