วันที่ 6 พ.ย. ที่ สตูดิโอ ช่อง 2 ลาดพร้าว 15 หม่อมเอ็ม-อรรถพล เทศทะวงศ์ นักแสดงวัยรุ่น ลูกชายของอดีตตลกชื่อดัง หม่อมเหยิน-ประสิทธิ์ เทศทะวงศ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ตนเองถูกสังคมมองว่าทอดทิ้งพ่อแม่ให้ตกระกำลำบาก หลังมีคนเห็น หม่อมเหยิน และภรรยา เร่ขายไอศกรีม เพื่อหาเงินใช้หนี้พนันอยู่ที่ต่างจังหวัด
โดย หม่อมเอ็ม เผยว่า “จริงๆ เรื่องไม่มีอะไรเลย คนไปเห็นว่าพ่อผมขายไอศกรีมอยู่ต่างจังหวัด ในขณะที่ผมเล่นละครอยู่ที่กรุงเทพฯ เลยเกิดเป็นภาพที่คนคิดว่าทำไมปล่อยให้พ่อมาทำอะไรแบบนี้ ลำบากหรือเปล่า แต่ความจริง คือ ผมกับพ่อคุยกันทุกวัน พ่อผมอยากที่จะอยู่ตจว.เป็นหลักอยู่แล้ว เพราะว่าเขามีบ้านตากอากาศอยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี แต่พ่อผมไม่อยากอยู่เฉยๆ เพราะเคยทำงานมาตลอด เขาเลยทำไอศกรีมขายง่ายๆ ตามตลาดนัดบ้าง พ่อผมอายุเยอะแล้วก็จริง แต่โชคดีที่เขายังแข็งแรง รวมถึงไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย เพราะเข้าใจว่าลูกทุกคนก็ทำงาน”
“ประเด็นที่เกิดขึ้นมาจากคนที่ไปเห็นพ่อขายไอศกรีมนั่นแหละ ทั้งที่ตัวผมไม่อยากให้พ่อทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เคยบอกเขาไว้ตั้งแต่ 3-4 ปี แต่พ่อผมมีความคิดอีกอย่างว่าถ้าตอนนี้ยังมีแรงก็อยากทำ อยู่เฉยๆ มันเบื่อ พ่อผมเฟดออกจากวงการไปอยู่ตจว.ระยะหนึ่งแล้ว จริงๆ ก่อนหน้านี้เขาไปอยู่ญี่ปุ่นมา 6 ปี ตอนนั้นผมอายุ 13 ปี อยู่กับพี่ชายมาตลอด วันจันทร์ถึงวันศุกร์ก็เรียน วันเสาร์และอาทิตย์ก็ทำงานเป็นหลัก
พอพ่อกลับมางานละครก็ไม่ได้มีมาก รวมถึงงานตลกก็ไม่ได้มีมากเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป ใจผมไม่อยากให้พ่อทำงานเลย อย่างตอนที่เห็นเขาไปขายไอศกรีมผมก็สงสาร ผมเองไม่ใช่ไม่อยากเลี้ยงพ่อแม่ แต่ว่าผมก็ดูแลตัวเองได้ในส่วนหนึ่ง ต้องบอกก่อนว่าบ้านผมมีหนี้สิน ยังต้องเคลียร์อะไรหลายอย่าง ตอนนี้อยู่ในช่วงที่ต้องช่วยกันหาเงิน ทุกวันนี้เวลาทำงานได้เงินมา ก็ส่งไปให้เป็นค่างวดรถของเขา ค่าเทอมหลาน ค่าเช่าบ้าน หรืออะไรที่ไม่พอลูกๆ ก็ช่วยกัน เพียงแต่ว่าพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
หนี้สินเยอะไหม
“เยอะอยู่ครับ ประมาณ 3 ล้านบาท บ้านยังเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ถามว่าหลังมีข่าวออกมา ผลกระทบมาถึงตัวผมเยอะมั้ย หลายคนก็เข้าใจ แต่หลายคนก็มองว่าผมเป็นลูกที่ไม่ดี ส่วนตัวไม่เสียใจที่คนมองแบบนี้ เพราะไม่มีใครรู้อะไรดีเท่าผมกับครอบครัวของผม”
คิดจะพาพ่อแม่มาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ไหม
“ตอนนี้ที่บ้านผมกำลังปรับปรุงใหม่ ฝุ่นเลยยังเยอะอยู่ ถ้าเขามาอยู่น่าจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ผมคิดว่าวันหนึ่งก็ต้องพาเขามาอยู่ด้วยกันแน่นอน ไม่ได้คิดจะปล่อยให้เขาขายไอศกรีมไปตลอดชีวิต ทุกวันนี้รายได้ของผมก็มาจากการเล่นละครเป็นหลัก ทำงาน 7 วัน ทำให้บางทีไม่ได้ไปหาพ่อแม่ที่ตจว. นอกจากจะมีโอกาสวันสำคัญก็จะได้ไปหาบ้าง
พ่อบอกผมว่าปีหน้าก็น่าจะเลิกขายไอศกรีมแล้ว เพราะตอนนี้แม่ผมไม่ค่อยสบายเป็นเบาหวาน ความดัน แล้วก็มีแนวโน้มจะต้องฟอกไตด้วย ตอนนี้ก็ต้องดูแลแม่ ในขณะเดียวกันเวลาที่พ่อออกไปขาย แม่ก็อยู่บ้านคนเดียว ซึ่งไหวบ้างไม่ไหวบ้าง ตอนนี้ก็มีแพลนว่าจะพาแม่มาดูแลใกล้ชิดให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมขอแค่ว่าก่อนจะตัดสินว่าผมเป็นยังไงก็ช่วยดูให้ดีก่อน จริงๆ แล้วคำว่าลูกอกตัญญูไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ เวลาได้ยินผมก็สะอึกเหมือนกัน อยากให้ทุกคนได้มองผมและครอบครัวผมในทางที่ถูกต้องด้วยครับ”