เรียบเรียงข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม
ภาพ DMC
ช่วงนี้สำนักข่าวต่างๆ เริ่มออกมาตีแผ่วัดพระธรรมกายกันอีกครั้ง เนื่องจากพุทธศาสนิกชนมองว่าหลักคำสอนของวัดดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้อง รวมทั้งต้องการปกป้องรักษาพระพุทธศาสนาที่ดีไว้ ไม่ให้ถูกทำลายโดยกลุ่มใครกลุ่มหนึ่ง
เราจึงได้เห็นพลังของคนศรัทธาทำนวนมาก โดยผู้สื่อข่าว เว็บไซต์ โดดเด่นดอทคอม ( www.dodeden.com ) รายงานว่าสมาชิกเว็บไซต์พันทิปนามว่า “ไห่” ได้ลงกระทู้ไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่เรื่องราวยังคงทันสมัย และ นำมาศึกษาได้อย่างดี
โดยมีหัวข้อว่า ที่สุดแห่งธรรม หลวงพ่อสด พ้นกับดัก ธรรมกาย 43ปี เนื้อหาระบุว่า ในบรรดา 1 ใน 4 ปัญหาของวัดพระธรรมกาย ที่มีแนวทางผิดเพี้ยนจากศาสนา
ซึ่งกรมการศาสนาสรุปออกมาแล้วได้แก่ คือ คำสั่งสอนของวัด ไม่ว่าจะเป็นการสอนเพื่อเน้นการทำบุญอย่างเดียว การสอนว่านิพพาน เป็นสถานที่มีพระพุทธเจ้าไปนั่งอยู่ในนั้น
โดยสามารถเห็นได้จากการนั่งสมาธิแนวธรรมกาย ขนาดที่ในการเทศนาวันอาทิตย์ที่ 3 ม.ค. พระไชยบูลย์ ธัมมฺชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยังยืนยันต่อหน้าลูกศิษย์ว่า
แนวทางของธรรมกายนิพพานเป็นสถานที่ มีตัวตนคืออัตตา เป็นนิจจัง เที่ยง และเป็นสุข ซึ่งไม่สนใจหลักศาสนาที่ว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง ทุกขัง คือเป็นทุกข์ และอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีเอกสาร และหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า วิชชาธรรมกาย ที่ก่อกำเนิดโดยหลวงพ่อสด จันฺทสโร หรือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ นั้น เป็นแนวทางที่ทำให้เกิดการหลงงมงายได้ง่าย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานจากคำสอนใน พระไตรปิฎกที่ พระธรรมปิฎก หรือเจ้าคุณปยุต ปยุตฺโต เรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือชื่อ “นิพพาน อนัตตา” ที่ยืนยันนิพพานไม่ใช่สถานที่ และไม่มีตัวตนไปจนถึงหลักฐานการที่ เสฐียร พงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ไปยื่นต่อคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ว่า
ในช่วงที่หลวงพ่อสดมีชีวิตได้เกิดติดขัดในการปฏิบัติภาวนา และต้องไปเรียนกับอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานวัด มหาธาตุ ให้แก้ให้ จึงสามารถผ่านต่อไปได้ โดยมีหลักฐานรูปถ่ายหลวงพ่อสดลงนามถวายไว้ มีข้อความว่า
“ให้สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุไว้เป็นที่ระลึก ในโอกาสที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนา ตามแบบที่วัดมหาธาตุสอนอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่าการปฏิบัติแบบนี้ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฎฐานสูตรทุกประการ” และลงชื่อโดยพระภาวนาโกศลเถร วัดปากน้ำ ธนบุรี
เล่ากันว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำสำนึกที่เข้าใจผิดว่านิมิตเป็นการบรรลุธรรม แต่จะประกาศออกไปก็เกรงว่าศิษย์จะสับสน ด้วยว่ามีคนทำตามมากแล้ว และวิธีปฏิบัติธรรมกายเป็นสิ่งที่หลวงพ่อสดทิ้งแล้ว แต่ศิษย์ยังคงสืบต่อกันมา
นอกจากหลักฐานจากภาพถ่าย รวมถึงคำพูดของเสฐียรพงษ์แล้ว ยังมีหลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถอ้างถึงได้นั่นคือ เทปการสอนธรรมะของ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาสิทฺธิ ป.9)
หรือเจ้าคุณโชดกอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนา วัดมหาธาตุที่ยืนยันได้อีก เพราะ เจ้าคุณโชดกคือพระรูปที่หลวงพ่อสดไปพบ และแก้ไขเรื่องกัมมัฏฐานให้นั่นเอง
เทปดังกล่าวเคยออกอากาศเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2541 ในรายการธรรมร่วมสมัย รวมถึงมีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางด้วย
แต่ก่อนที่จะเข้าไปในเนื้อหาของเทปนี้ ต้องเข้าใจพื้นฐานของศาสนาพุทธก่อนว่าจะเริ่มจากการให้ทาน ถือศีล และการภาวนา ซึ่ง การภาวนาจะถือว่าเป็นกุศล เป็นแนวทางสูงสุดของศาสนาพุทธ
ในแง่การภาวนายังแยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ “สมาธิหรือสมถะ” ซึ่งเป็นการภาวนาขั้นต้น กับ “การวิปัสสนา” ที่เป็นการภาวนาขั้นสูงสุดของศาสนา ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
การทำสมาธิ คือ การเพ่ง หรือการทำจิตให้หยุดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนทำให้จิตมีพลังขึ้นมาได้ เช่น การเพ่งกำหนดไปที่ลมหายใจ จิตในขั้นนี้จะมีฤทธิ์ มีอำนาจ ตามหลักศาสนาจะใช้จิตประเภทนี้เข้ามาหนุน
เนื่องสติปัญญา โดยเมื่อจิตมีพลังเต็มเปี่ยมก็ค่อยถอนจิตออกจากสมาธิเข้ามาสู่การวิปัสสนา คือ การใช้ปัญญาพิจารณาธรรมะ ตามลำดับชั้นโดยเฉพาะในแง่สติปัฏฐาน 4
อาทิ การพิจารณาให้เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิตและเห็นธรรมในธรรม ภาวะการบรรลุธรรมขั้นสูงจะเกิดได้ต่อเมื่อเป็นผลของการวิปัสสนาเท่านั้น
สำหรับสมาธิแนวทางวิชชาธรรมกายก็คือ การเพ่งให้เห็น “ลูกแก้ว” ในร่างกาย นั่นเอง แต่ปัญหาของสมาธิแนวทางนี้คือ ทำให้เกิดการหลงทางได้ง่าย ๆ
โดยภาพที่เห็นเป็น “นิมิต” หรือการเพ่งจนปรากฏรูปขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของพลังจิต แต่ถือว่ายังอยู่ในขั้นสมถะไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่การวิปัสสนาได้
จากเทปของเจ้าคุณโชดกได้กล่าวว่า การปฏิบัติสมาธิแต่อย่างเดียวเมื่อปฏิบัติมาก ๆ และจะก้าวเข้าสู่การวิปัสสนานั้นอาจทำให้เกิดการหลง หรือเกิดอุปกิเลสได้ถึง 10 ข้อ อาทิ การเกิดแสงสว่าง และเข้าไปยึดติดกับภาพนั้น
“บางอาจารย์ก็นึกเป็นธรรมกาย เป็นปฐมมรรค เป็นแสงสว่าง ไปดูนรก สวรรค์ อธิษฐาน สร้างภาพนรก สร้างสวรรค์ จิตนึกไปเรื่อย เป็นจิตนึกมาเอง แล้วไปยึดติด บางครั้งคิดว่ากิเลสหายไปหมดแล้ว และกลายเป็นพระอรหันต์แล้วทั้งที่ไม่ใช่” เจ้าคุณโชดก กล่าว
นอกจากนั้น เจ้าคุณโชดกยังกล่าวอีกว่า เจ้าคุณวัดปากน้ำหรือหลวงพ่อสด ที่ปฏิบัติด้านสมาธิหรือสมถะมา 43 ปีมาให้ช่วย โดยแนวทางที่หลวงพ่อสดปฏิบัติคือการเพ่งดวงแก้ว และภาวนาว่าสัมมาอรหัง เห็นธรรมกาย เห็นแสงสว่าง
“ท่าน (หลวงพ่อสด) เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นธรรมกาย อันที่จริงธรรมกายในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้หมายถึง ชื่อพระพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า”
ดังนั้นเจ้าคุณโชดกจึงให้หลวงพ่อสดปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน โดยให้เดินจงกรม นั่งสมาธิ ระยะแรกหลวงพ่อสด ก็ยังยืนยันเห็นพระพุทธเจ้าในนิพพาน ซึ่งเข้าไปจับมือถือแขนก็ได้,เห็นพระเต็มศาลา ฯลฯ
เจ้าคุณโชดก จึงแนะนำให้กำหนดอารมณ์ใหม่ โดยเมื่อเห็นนิมิตหรือภาพติดตานั้น ซึ่งให้พิจารณาว่า “เห็นหนอ ๆ” เพื่อเป็นการยกเอาจิตหรือเอาสติออกมาจากสมาธิ เพื่อใช้ปัญญาพิจารณาตามหลักศาสนา ปรากฏว่าหลวงพ่อสดกำหนดสติตามแนวดังกล่าว
ในที่สุดภาพพระที่เคยเห็นเต็มไปหมดก็หายวับไปกับตา และเข้าใจในหลักไตรลักษณ์ศาสนาคือทุกสิ่งเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เป็นทุกขังหรือเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
หลวงพ่อสดถึงกับกล่าวว่า เราติดอยู่ในญาณหรืออำนาจที่เกิดจากสมาธิมาหลายสิบปี เพิ่งมาหลุดได้ในวันนี้ และเป็นที่มาของรูปถ่าย พร้อมกับลายมือที่หลวงพ่อสดให้ไว้เป็นประจักษ์พยาน
เจ้าคุณโชดกเองเคยกล่าวว่า ที่เล่าถึงเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำไม่ใช่เอามาพูดเสีย ๆ หาย ๆ แต่เอาความดีของท่านมาเล่าให้ฟัง เพราะท่านเป็นพระที่มุ่งศึกษาในการปฏิบัติธรรม และต่อมาท่านก็ได้สู่แนวทางของการวิปัสสนาอย่างแท้จริง
ปัญหาของวิชชาธรรมกายนี้ เสฐียรพงษ์ได้สรุปว่า ธรรมกายของหลวงพ่อสดคือการปฏิบัติสมาธิโดยเข้าใจว่าเป็นมรรคผล แต่ในยุคหลวงพ่อสดก็เป็นแค่การสัมผัสได้เฉพาะตน ไม่ได้นำมาเผยแผ่จนใหญ่โต และสร้างศรัทธาอย่างวัดพระธรรมกายกระทำ เพื่อให้ลูกศิษย์มาทำบุญ
และปัจจุบันก็กลายเป็นการ จัดสรรนิมิต จนทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นภาพ และก็มีการบอกว่าได้บรรลุธรรมเป็นขั้น ๆ โดยคนที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น พอเห็นเข้าก็เกิดศรัทธา มีเท่าไหร่ก็ทุ่มเททำบุญไปหมด
นี่คือขบวนการสูบบุญที่แท้จริง !
แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวจากกระทู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน โปรดใช้หลัก กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญา พิจารณาให้เห็นจริงกันคะ !