เรื่องเล่าจากคุณพ่อเมื่อรู้ว่าลูกสาววัย 23 ปี ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 4 แบบไม่ทันตั้งตัว และกำลังต่อสู้กับโรคร้ายอย่างเต็มที่ ด้วยความหวังจะได้เข้ารับปริญญาในปลายปี
ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่คิดว่าโรคร้ายอย่างมะเร็งมักจะเกิดกับคนในวัยกลางคนไปแล้ว และวัยรุ่นหนุ่มสาวก็ไม่น่าจะป่วยด้วยโรคนี้ง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้วก็มีโรคมะเร็งอยู่หลายเคสที่เกิดกับคนอายุยังน้อย และแทบไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย มารู้ตัวอีกที โรคมะเร็งก็ลุกลามไปจนถึงระยะสุดท้ายเสียแล้ว
ดังเช่นเรื่องราวของ คุณสมาชิกหมายเลข 1117617 ที่โพสต์กระทู้ “เมื่อลูกสาวผม (อายุ23ปี) เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่4″ ไว้ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม บอกเล่าถึงลูกสาวในวัย 23 ปี ที่มีอาการไอไม่หยุดมาได้พักใหญ่ แต่เมื่อไปตรวจร่างกายกลับพบกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่า ลูกสาวป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ 4 !!!
เจ้าของกระทู้บอกเล่าให้ฟังว่า น้องจอย (ลูกสาว) นักศึกษาปริญญาตรี ปี 4 เกิดมีอาการไอขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และไอไม่หยุดในช่วงเดือนกรกฎาคม 2556 ที่กำลังฝึกงานอยู่ จึงไปตรวจเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งและพบก้อนเนื้อที่ทรวงอก แพทย์จึงส่งตัวมารักษาที่ภูมิลำเนาเดิมที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีบัตรทอง 30 บาทอยู่ ทางโรงพยาบาลได้เจาะเนื้อเยื่อไปพิสูจน์ถึง 2 ครั้ง ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นก้อนเนื้ออะไร จึงส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี และก็พบว่าก้อนเนื้อนั้นคือ “มะเร็งต่อมน้ำเหลือระยะที่ 4”
ทันทีที่ได้ยินคำนี้ หัวอกคนเป็นพ่อรู้สึกเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน แต่ลูกสาวที่ป่วยกลับเข้มแข็งและคอยปลอบใจพ่ออยู่ตลอดเวลา พร้อมกับวางแผนรักษาด้วยการให้คีโมเรื่อยมา จนกระทั่งให้คีโมครั้งที่ 3 ร่างกายของน้องจอยเริ่มอ่อนแอลง เกิดภาวะปอดติดเชื้อ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ นอนไม่ได้ หายใจเองไม่ได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
เรียกว่าเป็นช่วงวิกฤตที่สุดจนคุณหมอต้องเรียกพ่อและแม่เข้าไปคุยและพูดว่า “น้องอาจไม่ได้กลับบ้านแล้วนะ” เพราะภาวะปอดติดเชื้อดื้อยา ไม่ตอบสนองต่อการรักษา คุณหมอจึงต้องให้ยาต้านเชื้อที่แรงที่สุด ซึ่งก็บอกว่าหากครั้งนี้ยังดื้อยาอยู่ ทุกอย่างก็ต้องจบ
ในที่สุดหลังจากให้ยา น้องจอยก็มีอาการดีขึ้น เริ่มรู้สึกตัว นอนตะแคงได้ แต่นอนหงายยังไม่ได้ และยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ พ่อและแม่ต้องสลับกันกอดลูกตลอดเวลา เพราะน้องมีอาการสั่นตลอดในช่วงให้ยาต้านการติดเชื้อที่ปอด แต่สุดท้ายก็ผ่านช่วงวิกฤตไปได้ ทำให้ครอบครัวก็มีความหวังมากขึ้น เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
ก่อนจะกลับสู่การวางแผนทำคีโมอีกครั้ง ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดีทุกครั้ง ไม่มีอาการแทรกซ้อนจากโรคภัยต่าง ๆ ก่อนเข้าสู่ขบวนการฉายรังสีอีกครั้ง ซึ่งกำหนดเริ่มฉายรังสีวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 และระหว่างรักษาตัว น้องจอย ก็ได้ไปเรียนและสอบตามแต่ช่วงเวลาที่จะทำได้ จนในที่สุดก็จบการศึกษา และเตรียมพร้อมกับการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ 16 ธันวาคม 2557
แต่แล้วในช่วงที่ฉายรังสีครบระยะกำหนดแล้ว น้องจอยก็เริ่มมีอาการไออีกครั้ง วันที่ 10 ตุลาคม 2557 คุณหมอได้ทำซีทีสแกนก็พบว่าเชื้อมะเร็งดื้อยา ไม่ตอบสนองกับคีโมที่ได้รับ แม้ว่าการฉายแสงจะทำให้ก้อนฝ่อลงบ้าง แต่ตอนนี้ก็เกิดก้อนมะเร็งตัวใหม่ขึ้นมาบริเวณใกล้หัวใจ ทำให้น้องต้องรับคีโมสูตรใหม่ ใช้ยานอกเข็มละ 70,000 บาท รวม 4 ครั้ง เป็นเงิน 280,000 บาท และต้องปลูกถ่ายกระดูกไขสันหลังอีกเป็นเงิน 300,000 บาท ค่าใช้จ่ายโดยประมาณที่ยังไม่รวมค่าอุปกรณ์อื่น ๆ ทั้งสิ้น 580,000 บาท
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทางครอบครัวมืดไปหมด เพราะต้องทำคีโมทันที ทางครอบครัวตัดสินใจให้ลูกรักษาตัวต่อ ซึ่ง ณ วันที่ 15 ตุลาคมนี้ น้องจอยให้คีโมสูตรใหม่อยู่ที่โรงพยาบาลพุทธโสธร โดยหลังได้รับคีโม น้องมีอาการตัวบวมมาก ต้องฉีดยาขับน้ำออกทางปัสสาวะ และไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ จึงได้แต่ภาวนา พร้อมกับความคาดหวังที่ว่าในวันที่ 16 ธันวาคม 2557 นี้ เราจะไปงานรับปริญญาด้วยกันทั้งครอบครัว
ทั้งนี้เรื่องราวดังกล่าวได้มีชาวเน็ตเข้ามาโพสต์ข้อความแสดงความห่วงใยและกำลังใจเป็นจำนวนมาก โดยภาวนาให้น้องจอยหายในเร็ววัน รวมทั้งยังให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ ขอให้เข้มแข็งและสู้ต่อไป
ที่มา กระปุก เว็บไซต์พันทิปดอทคอม โดยคุณสมาชิกหมายเลข 1117617