ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร หัวหน้าโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ขณะนี้คนนิยมรับประทานอาหารเสริมกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินรวม เพื่อช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นั้น
จากการศึกษาของต่างประเทศในคนอายุ 40-50 ปีขึ้นไป ที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นโรค และไม่ขาดสารอาหารจำนวน 1 ล้านคน โดยให้รับประทานวิตามินรวม โดยติดตามต่อเนื่อง 10 ปี พบว่า อัตราการเกิดโรคและเสียชีวิตพอๆ กันกับผู้ที่ไม่ได้รับประทาน และวิตามินบางชนิดยังเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วยหากรับประทานมากจนเกินไป
ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ กล่าวว่า สาเหตุที่คนหันมารับประทานวิตามินรวม เนื่องจากเชื่อว่าร่างกายรับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกลุ่มผักและผลไม้ที่เป็นแหล่งรวมของวิตามินต่างๆ การพิจารณาว่าร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอหรือไม่นั้น โดยหลักแล้วให้ดูจากการรับประทานผักและผลไม้ โดยจะต้องรับประทานให้ได้ 5 ส่วนต่อวัน หรือประมาณ 5 กำมือของตัวเอง โดยผักและผลไม้จะต้องมีความหลากหลายด้วย
เพื่อให้ได้รับวิตามินที่ครบถ้วน แต่หากมั่นใจว่าได้รับวิตามินไม่ครบก็สามารถรับประทานได้ โดยควรรับประทานวันละ 1 เม็ด แต่จะต้องศึกษาให้ดีก่อนว่าจะไม่เกิดผลกระทบหรืออันตรายต่อร่างกาย เพราะวิตามินซีเมื่อรับประทานมากเกินไป คือ เกินกว่า 2 พันมิลลิกรัมต่อวัน ก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้เกิดนิ่วขึ้นไป หรือวิตามินเอ หากเป็นโรคตับหรือไตก็ไม่ควรรับประทาน เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียต่อตับและไตเช่นกัน
สำหรับวิตามินบีซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินละลายในน้ำเช่นเดียวกับวิตามินซี สามารถรับประทานได้ไม่มีอันตราย เพราะหากได้รับเกินกว่าปริมาณของร่างกายก็จะถูกขับผ่านไตออกทางปัสสาวะ แต่ไม่ก่อให้เกิดนิ่วเหมือนวิตามินซี ส่วนวิตามินกลุ่มละลายในไขมันคือ วิตามินเอ ดี อี และเค นั้น
ในส่วนของวิตามินเอ ส่วนมากมักจะเป็นเด็กที่ขาดวิตามินเอ จึงมักแนะนำให้กินน้ำมันตับปลา เพราะมีวิตามินเอสูง จะช่วยให้เจริญอาหารและการมองเห็นในเด็ก ส่วนผู้ใหญ่จะมีวิตามินเอในร่างกายมากอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องรับประทานเพิ่ม หากได้รับเกินไปจะทำให้ตับและไตแย่ลง ปวดหัว และเบลอ เว้นการกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ จะไม่เป็นอันตราย เพราะอยู่ในรูปของเบตาแคโรทีน ไม่ได้มีมากเหมือนการสังเคราะห์วิตามินเอในรูปแบบของยาเม็ด
“ที่เป็นปัญหาตอนนี้คือคนไทยขาดวิตามินดี เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน คนไม่ชอบออกแดด เพราะกลัวดำและฝ้า ผิวไม่ขาวใส จึงมักนิยมทาครีมกันแดด ใส่เสื้อแขนยาว ตรงนี้ทำให้คนไทยขาดวิตามินดีเยอะมาก ซึ่งวิตามินดีจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส หากในเด็กขาดวิตามินดีก็จะส่งผลให้เกิดโรค Rickets หรือโรคกระดูกอ่อนในเด็กทำให้กระดูกเจริญเติบโตผิดปกติ ส่วนในผู้ใหญ่ก็จะทำให้เกิดโรคกระดูกด้วย รวมไปถึงทำให้ภูมิต้านทานลดลง” ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ กล่าว
ทั้งนี้ ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีเองได้ทางผิวหนังจากการถูกแดด ไม่จำเป็นต้องซื้อวิตามินดีมารับประทาน โดยแนะนำให้ออกมาเจอแดดบ้างในช่วงที่แดดไม่แรง เช่น 8-9 โมง หรือช่วงบ่าย 3-4 โมงเย็น ประมาณ 1015 นาที
โดยอาจเลือดทาครีมกันแดดที่หน้า สวมหมวกป้องกัน แต่ใส่เสื้อแขนสั้นหรือโชว์แขนให้ได้รับแสงแดดบ้าง ส่วนช่วงเวลาเที่ยงหรือช่วงแดดจัดก็อาจทาครมกันแดดป้องกันตามปกติ สำหรับวิตามินอี เป็นแอนตีออกซิแดนท์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ จึงมักนำมาใช้เป็นยา แต่จากการศึกษาก็ไม่พบว่ามีข้อมูลสนับสนุนว่าช่วยป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ หรือช่วยให้เสียชีวิตน้อยลง แต่พบว่าการรับประทานเพิ่มขึ้นกลับเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิต 2-3% ส่วนวิตามินเคนั้นลำไส้สามารถสร้างเองได้จากแบคทีเรียในลำไส้ จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานเสริม
ที่มา : manager