พลเอก ศุภกร สงวนชาติศรไกร ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานขององค์การเภสัชกรรมตลอดระยะเวลาที่คณะกรรมการชุดนี้ได้มาดำรงตำแหน่ง โรงงานผลิตยาที่พระราม 6 สามารถเปิดดำเนินการได้เต็มประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GMP – PIC/S ในทุกหมวดการผลิต โรงงานผลิตยารังสิต 1 สามารถเปิดสายการผลิตอย่างเป็นทางการได้ในเดือนมิถุนายน 2559
ส่วนการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่/ ไข้หวัดนก คืบหน้าไปมากกว่าร้อยละ90 นอกจากนี้ยังมีผลประกอบการที่แสดงถึงการเข้าถึงยาได้มากขึ้น ซึ่งใน 2 ปีนี้ องค์การเภสัชกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ด้านนายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า ด้านผลประกอบการขององค์การฯ นั้น ในปี 2558 มีผลประกอบการ 13,448 ล้านบาท และปี 2559 มีผลประกอบการ 15,154 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 1,962 และ 3,668 ล้านบาท (หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นจากปี 2557 ร้อยละ17 และ 32 ตามลำดับ) นอกจากนั้น อภ.ยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาให้รัฐ ตั้งแต่ ปี 2557-2559 จำนวนเงินสะสม 3 ปี รวมทั้งสิ้น 13,702 ล้านบาท โดยล่าสุดในปี 2559 ประหยัดได้ 4,981 ล้านบาท สำหรับการนำส่งรายได้ให้แก่รัฐมียอดสะสม 3 ปีล่าสุดจำนวน 2,996 ล้านบาท
ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยต่อไปว่า จากยอดผลประกอบการ 15,154 ล้านบาท ในปี 2559 นั้น เป็นยอดกระจายยาเชิงสังคมถึง 10,374 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69 ของผลประกอบการทั้งหมด โดยปี 2559กระจายยาเชิงสังคมมากกว่าปี 2557 ถึง 3,114 ล้านบาท
ทั้งนี้ยาเชิงสังคม ประกอบด้วย ยากำพร้า ยาขาดแคลน ยาเชิงนโยบาย ยาที่มีมูลค่าการใช้สูง ยาในบัญชี ยาจ.2 ซึ่งเป็นยาที่มีความจำเป็นในระบบสาธารณสุขของประเทศ การจ่ายให้ผู้ป่วยจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลายขั้นตอนเพื่อให้การสั่งจ่ายเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล เนื่องจากยามีราคาแพงมาก ตั้งแต่เม็ดละ 4,000 บาทจนถึง 100,000 กว่าบาท และเป็นยาที่มีผู้ผลิตน้อยรายหรือไม่มีผู้ผลิตในประเทศหรือผู้จัดหามาสำรองไว้เลย
โดยที่ อภ.เข้าไปเป็นกลไกในการจัดหา และสำรอง เพื่อรักษาสมดุล และตรึงราคาให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม และสร้างการเข้าถึงให้มากขึ้น โดยในส่วนยาในบัญชียา จ.2 มียอดขายที่สร้างการเข้าถึงเป็นจำนวนเงิน 1,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวนเงิน 987 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ111
ในปี 2559 องค์การฯ ยังช่วยประหยัดงบประมาณจัดหายาของภาครัฐได้ถึง 4,981 ล้านบาท โดยเป็นยาในกลุ่มยาต้านไวรัสเอดส์ ประหยัดได้ถึง 1,500 ล้านบาท พร้อมทั้งได้มีการสำรองยาขาดแคลน และยากำพร้ากว่า 30 รายการ เป็นยาในกลุ่มยาต้านพิษ และเซรุ่มแก้พิษงู จำนวน 19 รายการ ทั้งนี้ มีผู้เข้าถึงบริการยาต้านพิษเพิ่มขึ้น จากปี 2558 จำนวน 7,000 ราย (คิดเป็นจำนวนสะสม 6 ปีกว่า 20,000 ราย) และในช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้หลายจังหวัด เมื่อปลายปี 2559 อภ.ได้จัดส่งยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้กระทรวงสาธารณสุขกว่า 300,000 ชุดอย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้องค์การฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ จำนวน 13 รายการ อาทิ ยาลดความดันโลหิต (Amlodipine) ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กในเด็ก (Ferrous fumarate) ยาน้ำขับเหล็กสำหรับเด็กผู้ที่ป่วยเป็นธาลัสซีเมีย(Deferiprone) ยาปลูกผม (Minoxidil) เป็นต้น ส่วนการจำหน่ายยาไปยังต่างประเทศ มียอดจำหน่าย 39.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 10.49 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.51 โดยส่วนใหญ่จำหน่ายให้กับกลุ่มประเทศ AEC ทั้งนี้ในปี 2560 ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า ร้อยละ 20 โดยมุ่งเน้นการทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา ลาว เวียดนาม เมียนม่าร์
ผู้อำนวยการฯ เปิดเผยต่อไปว่า โรงงานผลิตยารังสิต 1 ซึ่งเป็นโรงงานที่องค์การฯ ภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีศักยภาพการผลิตสูง ทั้งด้านคุณภาพและปริมาณการผลิต มาใช้ในกระบวนการผลิต และได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP – PIC/S ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ดีในการผลิตยา
ปัจจุบันมีการผลิตยาแล้ว 24 รายการ มีกำลังการผลิต 1,900 ล้านเม็ด/แคปซูลต่อปี ซึ่งกำลังเร่งขยายกำลังการผลิตให้เต็มศักยภาพ พร้อมกันนี้ได้ยื่นขอการรับรอง WHO Prequalification จากองค์การอนามัยโลก ในส่วนของยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz 600 มิลลิกรัม โดยขณะนี้ผ่านการประเมินเบื้องต้นแล้ว และกลางปี 2560 เจ้าหน้าที่จาก WHO จะเข้าตรวจโรงงานคาดว่าจะได้การรับรองในช่วงปลายปี 2560 ซึ่งหากได้รับการรับรองจะนับเป็นโรงงานผลิตยาแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้การรับรอง WHO Prequalification ในรายการ Efavirenz และสามารถจำหน่ายได้ทั่วโลก
ด้านการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่/ ไข้หวัดนก ตามมาตรฐาน WHO-GMP ที่จังหวัดสระบุรี มีความคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 94 สามารถผลิตวัคซีนได้ในปลายปี 2563 ส่วนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายแบบสามสายพันธุ์
ขณะนี้การศึกษาทางคลินิกระยะที่ 2 เสร็จสิ้นแล้ว พบว่า วัคซีนมีความปลอดภัย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และพร้อมสำหรับการศึกษาในระยะที่ 3 จะทราบผลการศึกษาวิจัยทางคลินิกได้ในปี 2562 จากนั้นจะขอขึ้นทะเบียนจากอย. และถ่ายโอนการผลิตไปยังโรงงานผลิตวัคซีนฯ ต่อไป สำหรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกชนิดเชื้อเป็นเพื่อใช้ในกรณีเกิดการระบาดใหญ่ซึ่งเป็น “นวัตกรรมระดับโลก”ขณะนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว
ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวถึงแผนงานในอนาคตว่า จากนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถสู่ความได้เปรียบเชิงแข่งขันด้วยนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้ความร่วมมือจากเครือข่ายประชารัฐทุกภาคส่วน องค์การฯ ได้กำหนดแนวทางในการขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็น “องค์การเภสัชกรรม 4.0” เป็นองค์กรเชิงนวัตกรรมให้สอดคล้องกับบริบทสภาพของธุรกิจยาและสภาพแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกัน อภ.ต้องเป็นกลไกในการถ่วงดุลด้านราคายา ผลิตและจัดหายาจำเป็น สร้างความมั่นคงด้านยา และส่งรายได้ให้รัฐ เพื่อความมั่นคง มั่นคง ยั่งยืนให้แก่รัฐและประเทศชาติ พร้อมมุ่งสู่การเป็น “องค์กรคุณธรรม”
ผู้อำนวยการฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่าองค์การเภสัชกรรม 4.0 จะมุ่งดำเนินการในมิติต่าง ๆ อาทิ การคิดค้น วิจัยและพัฒนาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ระบบยาของประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น ยาจำเป็น ยารักษามะเร็งยาที่มีมูลค่าการใช้สูง พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีระบบอัจฉริยะและระบบดิจิตอล มาใช้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตตลอดจนกระบวนการทำงานด้านต่างๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และจำนวนบุคลากร เพื่อเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์
โดยในส่วนของโรงงานผลิตยารังสิต 1 ได้มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้บ้างแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศทางการบริหารจัดการ (Enterprise Resource Planning : ERP) โดยใช้ระบบ SAP ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานที่ทั่วโลกให้การยอมรับมาใช้ เพื่อให้การบริหารจัดการองค์กรทั้งระบบ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้จะเริ่มใช้ขับเคลื่อนกระบวนการทำงานทุกระบบเต็มประสิทธิภาพในปีต้นปี 2561
พร้อมกันนี้ อภ.สร้างสรรค์ยกระดับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ให้มีคุณสมบัติเป็นยา และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีประสิทธิภาพสูงตามนโยบายส่งเสริมการใช้ และเข้าถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรของรัฐบาล ในด้านการตลาดจะนำระบบ Digital Marketing มาใช้เพื่อสร้างการเข้าถึงยาของทั้งภาครัฐและประชาชน
อีกทั้งจะเร่งดำเนินการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความสอดคล้องการก้าวสู่ “องค์การเภสัชกรรม 4.0”ด้านการสร้างเครือข่ายประชารัฐจะร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรทุกระดับ ทั้งในและต่างประเทศ โดยแสวงหาความร่วมมือ เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรม มายกระดับกระบวน คิดค้น วิจัย พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการ โดยร่วมมือกับมูลนิธิพัฒนาชุมชนผาปัง เพื่อวิจัย พัฒนาต่อยอดถ่านไผ่ประสิทธิภาพสูง ให้มีคุณสมบัติเป็นวัตถุดิบที่มีมาตรฐานสำหรับการนำมาผลิตเป็น ยารักษาโรค เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ขณะนี้อยู่ระหว่างร่วมกันพัฒนากระบวนการผลิตถ่านไผ่ของมูลนิธิฯ ให้มีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานเภสัชตำรับ และมาตรฐาน GMP
ผู้อำนวยการฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในอนาคตอันใกล้ อภ.มีแผนสร้างการเข้าถึง และสร้างความมั่นคง ยั่งยืน ให้กับระบบยา และเวชภัณฑ์ของประเทศ อาทิ การก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตระยะ 2 เพื่อผลิตยาน้ำ ยาครีม ขี้ผึ้ง ยาปราศจากเชื้อ และยาเม็ด โดยจะเริ่มการก่อสร้างในเดือนมกราคม 2561 คาดว่าจะแล้วเสร็จใน ปี 2563 การก่อสร้างโรงงานผลิตเภสัชเคมีภัณฑ์แห่งใหม่ เพื่อผลิตเคมีภัณฑ์ ชุดทดสอบ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เวชสำอาง
ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะสร้างเสร็จและเริ่มผลิต ผลิตภัณฑ์ชุดทดสอบ เป็นรายการแรกในปลายปี 2560 การก่อสร้างและพัฒนาระบบคลังและกระจายสินค้า ให้มีความทันสมัย รวดเร็ว และเป็นมาตรฐานยิ่งขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบในรายละเอียด (Detail Design) และยื่นขออนุมัติแบบการก่อสร้างจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลาย ปี 2562 ส่วนการสร้างการเข้าถึงยาในภาคประชาชนให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนนั้น จะมุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยาทั่วไป เพื่อให้ประชาชนได้สามารถหาซื้อยาและเวชภัณฑ์ของ อภ.ได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายให้ครอบคลุมระดับอำเภอทั่วประเทศอย่างน้อยร้อยละ 60 ในปี 2563
ผู้อำนวยการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า อภ.ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานสู่การเป็น “องค์กร คุณธรรม”เพื่อยกระดับให้เป็นองค์กรที่มีคุณธรรม จริยธรรมที่ดี ปฏิบัติงาน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม ให้เป็นที่ยอมรับในทุกๆ ด้าน ด้วยการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง เป็นรูปธรรมและเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้ ร่วมกันต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างสุจริต เป็นบรรทัดฐานที่ดี และเกิดภาพลักษณ์ที่ดี