เรียบเรียงข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม
ภาพ samitivej
อากาศร้อนมีส่วนทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ดี ทำให้เรามีอาการเจ็บป่วยได้ง่ายหากไม่ดูแลตัวเอง โรคเริมก็เป็นหนึ่งในโรคที่อาจย้อนกลับมาเล่นงานคุณได้
เว็บไซต์โดดเด่นดอทคอม ( www.dodeden.com ) ระบุว่า นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อธิบายโรคเริมว่า เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชื่อ เฮอร์ปีส์ ซิมเพล็กซ์ (herpes simplex virus : HSV) มีอยู่ ๒ ชนิด
ชนิดที่ ๑ คือ Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปาก โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ติดต่อโดยการจูบ และสัมผัส สมมุติว่าติดเชื้อตอนเป็นเด็ก หรือตอนหนุ่มสาว มีอาการนิดเดียว หรือไม่มีอาการ
พอหายแล้วเชื้อจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ปมประสาท วันดีคืนดีไวรัสออกมา ถ้าออกมาข้างนอก จะทำให้เป็นตุ่มน้ำริมฝีปาก หากโชคร้ายไวรัสย้อนกลับไปที่สมอง จะทำให้เกิดอาการสมองอักเสบเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
หากรักษาไม่ทัน จะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตประมาณร้อยละ ๗๐ แต่ถ้าให้ยาเร็วโอกาสเสียชีวิตจะลดลงร้อยละ ๒๐-๓๐ แต่ความพิการอาจจะยังหลงเหลืออยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ไวรัสไปทำลายสมอง
ชนิดที่ ๒ คือ Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศ ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดตุ่มน้ำที่บริเวณอวัยวะเพศ พอหายไวรัสจะไปหลบซ่อนที่ปมประสาทบริเวณก้นกบ วันดีคืนดีเชื้อปะทุออกมาข้างนอก ก็เป็นตุ่มที่บริเวณอวัยวะเพศอีก
ทั้งนี้เชื้อชนิดที่ ๒ สามารถไปอยู่ที่ปากและซ่อนอยู่ในปมประสาทที่ปากได้เช่นกัน จากการทำออรัลเซ็กซ์ ส่วนชนิดที่ ๑ ซึ่งอยู่ที่ปาก ก็สามารถไปอยู่ที่อวัยวะเพศได้จากการทำออรัลเซ็กซ์เช่นกัน
ดังนั้น นอกจากเชื้อชนิดที่ ๑ จะขึ้นไปที่สมองจนทำให้เกิดสมองอักเสบแล้ว เชื้อชนิดที่ ๒ ก็สามารถขึ้นสมองทำให้เกิดสมองอักเสบได้เช่นกัน การตรวจน้ำไขสันหลังจะทำให้ทราบว่าเชื้อที่ขึ้นสมองเป็นชนิดที่ ๑ หรือ ๒
เมื่อเชื้อไวรัสเริมขึ้นสมอง ไวรัสจะไปที่เปลือกสมอง และสมองที่อยู่ลึกลงไป ก่อให้เกิดภาวะสมองบวม ซึ่งอาการบวมจะไปเบียดเนื้อสมองส่วนต่างๆ ทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น มีบุคลิกภาพ อารมณ์แปรปรวน ความจำหลงลืม ซึม พูดไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจ อ่อนแรง บางรายถึงขั้นชัก ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิต ถ้าลามไปยังเส้นประสาทเกี่ยวกับจอรับภาพ การรับภาพก็จะผิดปกติไป
วิธีการตรวจวินิจฉัยที่แน่นอน คือ การเจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจดูดีเอ็นเอของไวรัส ระยะเวลาที่ให้ผลแม่นยำ คือ ๓-๑๐ วัน ถ้ามีอาการปุ๊บเจาะเร็วไปก็อาจจะไม่เจอต้องรอ ๓ วันไปแล้ว แต่ไม่ควรช้าเกิน ๑๐ วันเพราะจะตรวจไม่เจอเช่นกัน
ถ้าผลการตรวจยืนยันว่าเป็นไวรัสเริมขึ้นสมองจะต้องรีบรักษาทันที ยิ่งเร็วยิ่งดี ด้วยการฉีดยาฆ่าเชื้อให้ผู้ป่วย เพราะโรคเริมยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
การฉีดยาฆ่าไวรัสเริมจะได้ผลดีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อที่สมองลุกลามไปแล้วมากน้อยเพียงใด ก่อให้เกิดความเสียหายมากหรือน้อย ถ้าเสียหายมาก แม้จะให้ยาฆ่าไวรัสไปแล้ว อาการอาจไม่ดีขึ้น
ภายหลังจากรักษาไปแล้ว ๑๔ วัน ก็ต้องมาเจาะน้ำไขสันหลังดูอีกว่า มีดีเอ็นเอของไวรัสหลงเหลืออยู่หรือไม่ ถ้ายังมีอยู่ต้องรักษาซ้ำด้วยการฉีดยาฆ่าไวรัสอีกรอบ ทั้งนี้เราไม่รู้ว่าไวรัสเริมที่ซ่อนอยู่ที่ปมประสาทที่ปากจะออกมาเมื่อใด จะให้ยาฆ่าเชื้อไปก่อนก็ไม่ได้ จึงไม่มีวิธีป้องกัน
ผู้ป่วยที่เชื้อไวรัสเริมขึ้นสมองรักษาหายแล้วก็มีโอกาสเป็นซ้ำได้ จาก ๒ กรณีดังต่อไปนี้ กรณีที่ ๑ ไวรัสยังไม่สงบจริง รักษาหายแล้ว ๒-๓ เดือน ปะทุขึ้นมาใหม่
กรณีที่ ๒ เหมือนกับว่ามีซากไวรัสในสมอง แต่ร่างกายหลงเข้าใจผิดคิดว่ามีไวรัสหลงเหลืออยู่ก็เลยสร้างภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเนื้อสมอง จนทำให้เกิดอาการขึ้นมาอีก