เซ็นทรัลบุกยุโรปเต็มสูบ ซื้อห้างดัง 3 แห่งในเยอรมนี คาเดเว,โอเบอร์โพลลิงเกอร์ และอัลสแตร์เฮ้าส์ หลังบริหารห้างลา รินาเชนเตในอิตาลี และห้างอิลลุ่มในเดนมาร์กเข้าเป้า คาดรายได้จากธุรกิจในยุโรปเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 ล้านยูโรในปี 59 ผงาดขึ้น 1 ใน 3 ผู้นำห้างลักชัวรี่ในยุโรป แซงหน้า “แฮร์รอดส์” เป็นรองแค่ “กาเลอรีลาฟาแยต” และ “เซลฟริดจ์ส”
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลได้ลงนามในสัญญาเข้าร่วมลงทุนซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าดังระดับพรีเมียมในประเทศเยอรมนี 3 แห่ง ได้แก่ ห้างคาเดเว (KaDeWe), ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) และห้างอัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus)
โดยจับมือร่วมทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของยุโรป “ซิกน่า” (SIGNA) ในสัดส่วนการถือหุ้น กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลถือครองในสัดส่วน 50.1% ของกลุ่มคาเดเว (The KaDeWe Group) ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าทั้ง 3 แห่งดังกล่าวและซิกน่าถือครองหุ้นในสัดส่วน 49.9% โดยที่เลือกเข้าซื้อกิจการห้างหรูระดับพรีเมียมและลักชัวรี่ในประเทศต่างๆในภาคพื้นยุโรปครั้งนี้ หลังจากเข้าซื้อกิจการห้างลา รินาเชนเต ที่ประเทศอิตาลีไปเมื่อปี 2554 ด้วยเงินลงทุนมากกว่า 200 ล้านยูโร หรือประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ห้างอิลลุ่ม ประเทศเดนมาร์ก ปี 2556 มาบริหาร และประสบความสำเร็จเกินคาด ปีแรกที่เข้าไปบริหารห้างลา รินาเชนเต มียอดรายได้เติบโตมากกว่า 10%
ทั้งนี้ เพราะเป็นนโยบายของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล ที่ต้องการขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียมและลักชัวรี่ในประเทศต่างๆในยุโรป เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ “เซ็นทรัล” ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ
สำหรับเรื่องงบลงทุนที่ซื้อกิจการ 3 ห้างดังนั้น ไม่สามารถบอกได้ แต่มากกว่าที่ทุ่มซื้อกิจการห้างลา รินาเชนเต และอิลลุ่มแน่นอน เพราะทั้ง 3 ห้าง มียอดขายต่อปีมากกว่า 600 ล้านยูโร ขณะที่ห้างลา รินาเชนเต ทั้ง 11 สาขาทั่วประเทศอิตาลี มียอดขายเฉลี่ยต่อปีกว่า 400 ล้านยูโร ห้างอิลลุ่ม 1 สาขา มียอดขายเฉลี่ยต่อปี 200 ล้านยูโร
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท สำหรับปรับปรุงทั้ง 3 ห้างดังกล่าว โดยจะเริ่มเข้าไปบริหารงานในเดือน ก.ค.2558 นี้ และเริ่มดำเนินการปรับปรุงทั้ง 3 ห้างพร้อมกันในต้นปี 2559 ซึ่งจะทยอยปรับปรุงเป็นโซนๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับการขายสินค้า คาดว่าโฉมใหม่จะแล้วเสร็จ 100% พร้อมกันทั้ง 3 ห้างในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
“จุดขายและจุดแข็งของห้างสรรพสินค้าทั้ง 3 แห่งดังกล่าวที่กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เข้าร่วมทุนซื้อกิจการนั้น มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 100 ปี มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเยอรมนี และตั้งอยู่ในเมืองที่มีความสำคัญทั้งด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ โดยคาเดเว เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่บนถนนโทเอนซีนสตราสเซอ (Tauentzienstrasse) ย่านช็อปปิ้งสุดหรูกลางกรุงเบอร์ลิน มีพื้นที่ขายมากกว่า 60,000 ตารางเมตร และมีสินค้ามากกว่า 380,000 รายการ
เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2450 ขณะที่โอเบอร์โพลลิงเกอร์ ตั้งอยู่บนถนนนอยเฮ้าเซอร์ (Neuhauser Strasse) ย่านช็อปปิ้งที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมิวนิก เป็นห้างสรรพสินค้าที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2448 ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดในเมืองมิวนิก และอัลสแตร์เฮ้าส์ เป็นห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียม ตั้งอยู่ที่เมืองฮัมบูร์กติดกับทะเลสาบบินเนเอ้าสแต เปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2440 โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนท้องถิ่น 50% นักท่องเที่ยว 50% ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในการทำตลาด และสร้างยอดขายให้เติบโตได้”
นายทศกล่าวว่า แผนการดำเนินงานในอนาคต กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลจะเข้าเป็นผู้บริหารงานและวางกลยุทธ์หลักในกลุ่มคาเดเว โดยมีความมุ่งมั่นที่จะสืบทอดคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนานของห้างสรรพสินค้าทั้ง 3 แห่ง พร้อมกับใช้ประสบการณ์ด้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับแต่ละห้าง ซึ่งการร่วมทุนครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจของกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลในยุโรปเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยจากยอดขายต่อปีรวมของลา รินาเชนเต ในประเทศอิตาลี และอิลลุ่ม ในประเทศเดนมาร์ก ที่ 600 ล้านยูโร หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% ของยอดรายได้รวมทั้งหมดในปัจจุบัน เมื่อรวมกับ 3 ห้างดังกล่าวในเยอรมนีแล้ว บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจห้างสรรพสินค้าหรูในยุโรปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,200 ล้านยูโร หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 40% ในปี 2559 ทันที และทำให้กลุ่มเซ็นทรัลขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของผู้นำห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียมและลักชัวรี่ของยุโรป รองจากห้างกาเลอรีลาฟาแยต และห้างเซลฟริดจ์ส (Selfridges) แซงหน้าห้างแฮร์รอดส์ (Harrods)
อัลสแตร์เฮ้าส์
“การขยายธุรกิจครั้งนี้ ทำให้กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านห้างสรรพสินค้าระดับระดับพรีเมียมและลักชัวรี่ในภาคพื้นยุโรปและเอเชีย โดยมีแฟล็กชิพสโตร์ที่หรูหราและมีเอกลักษณ์ทั้งสิ้น 7 แห่ง คือ ลา รินาเชนเต มิลาน, ลา รินาเชนเต โรม, อิลลุ่ม โคเปนเฮเกน, คาเดเว เบอร์ลิน,โอเบอร์โพลลิงเกอร์ มิวนิก, อัลสแตร์เฮ้าส์ ฮัมบูร์ก และเซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัล เอ็มบาสซี กรุงเทพฯ ซึ่งทุกแห่งล้วนตั้งอยู่ในอาคารที่เป็นแลนด์มาร์กของแต่ละเมือง”
ทั้งนี้ ตระกูลจิราธิวัฒน์ติดอยู่ในอันดับ 3 ของ 50 ทำเนียบมหาเศรษฐีฟอร์บส์ในประเทศไทยประจำปี 2558 มีทรัพย์สินรวม 412,700 ล้านบาท และปีนี้เซ็นทรัลมีแผนขยายสาขาในไทยเพิ่ม 5 สาขา.