จากกรณีกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) ปฏิบัติการ”ชัยยะ สยบไพรี 60/2 ตรวจค้น39เป้าหมาย 41จุด เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหา9คน ในเครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ชาวลาว โดยจุดสำคัญ ได้เข้าตรวจค้นร้านเเอเรีย 51 (Area51) ใต้อาคารธนดลแมนชั่น ภายใน ซอยอินทามระ 51 ของนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามี แพท-ณปภา ตันตระกูล ดาราสาวและพิธีกรชื่อดัง ถูกซัดทอดมีรถสปอร์ตหรู ยี่ห้อลัมโบร์กีนี กัลลาโด สีเท่าดำ รุ่นย่อย SuperLeggera LP 570-4 มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ไว้ในครอบครอบ โดยสงสัยว่าเป็นของนายณัฐพลหรือบอย นาคคำ ผู้ต้องหาเครือข่ายนายไซซะนะที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่เบนซ์ เรซซิ่ง พร้อมทนายความนำหลักฐานเอกสารบางส่วนเข้าชี้แจงกับตำรวจบช.ปส. ตลอดจนนายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ นักธุรกิจชื่อดังและลูกอดีตนักการเมือง และนายณัฐวัฒน์ ห่วงมณี หรือเอก บูโน่ เจ้าของเต็นท์รถ เอก บูโน ออโต คลินิก เข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะพยาน เกี่ยวกับที่มาของรถลัมโบร์กีนี
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สื่อมวลชนจำนวนมาก ดักรอ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง จะนำเอกสารเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจร้านตกแต่งรถบิ๊กไบค์ “area 51” ที่อยู่ภายในซอยอินทามระ 51 ถนนสุทธิสาร แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม. เข้าชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบช.ปส.อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานนี้(15 ก.พ.)นายอัครกิตติ์ ได้เดินทางไปเยี่ยม แพท-ณปภา ตันตระกูล ดาราสาวชื่อดัง ภรรยา ที่คลอดลูกชายรพ.กรุงเทพคริสเตียน ก่อนให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ส่งหมายเรียกให้เข้าพบแต่อย่างใด ต่อมาเวลา 14.50 น. นายอัครกิตติ์ เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวพร้อมมารดาและทนายความ พร้อมนำเอกสารหลักฐานเข้ามาพบพนักงานสอบสวน บช.ปส. ซึ่งเมื่อนายอัครกิตติ์ได้ลงจากรถ ยกมือไหว้สวัสดีพร้อมทั้งยิ้มทักทายผู้สื่อข่าว
นายอัครกิตติ์ กล่าวภายหลังเข้าพบตำรวจนานกว่า 3 ชั่วโมงว่า ตนไม่ได้มีหมายเรียก แต่เดินทางมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ และมอบเอกสารเพิ่มเติมหลายอย่าง อาทิ เอกสารการกู้ยืมเงินจากไฟแนนซ์ เอกสารที่มาที่ไปของรถลัมโบร์กีนี สำหรับเรื่องเงิน 6 ล้านตนได้ชี้แจงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้วต้องรอสรุปอีกครั้ง กรณีที่การเสนอว่าทางร้าน Area 51 นั้นมีการขาดทุนมา 3 ปี ขอให้รอข้อเท็จจริงจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดีกว่า ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้นำเงินของนายไซซะนะมาใช้ในการซื้อรถลัมโบร์กีนี เงินที่นำมาซื้อมาจากการประกอบกิจการของตนเอง สำหรับการเข้าให้ปากคำในวันนี้ค่อนข้างจะชัดเจนขึ้นเพราะได้มีการนำเอกสารสำคัญมาให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่นายบอย ได้เข้าให้ปากคำและซัดทอดมายังตนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับนายไซซะนะนั้น ตนไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรแต่ได้นำหลักฐานมาแสดงให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นยังไม่มีการออกหมายเรียกใดๆ พร้อมทั้งไม่มีการแจ้งข้อหา และหากมีหลักฐานเพิ่มเติมจะนำมามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ด้านนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้(17ก.พ.)ทางเลขาธิการ ป.ป.ส. จะส่งเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้ง เข้าไปสอบปากคำนายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง กรุงเทพมหานครอีกครั้ง หลังจากที่มีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของนายณัฐพลทั้ง 12 รายการ โดยเฉพาะประเด็นรถยนต์หรู ยี่ห้อ ลัมโบร์กีนี กัลลาโด มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท และรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 2 คัน ซึ่งเป็นชื่อของนายอัครกิตติ์ เป็นผู้ครอบครอง ถ้าหากนายณัฐพลให้การพาดพิงถึงบุคคลใดก็จะเรียกมาสอบทั้งหมด นอกจากนี้หากพบว่าพยานหลักฐานเกี่ยวข้องไปถึงนายอัครกิตติ์ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกให้เข้ามาชี้แจง พร้อมกับแจ้งข้อหาทันที ซึ่งภายในสัปดาห์หน้าก็จะทราบผลอย่างแน่นอน
ขณะที่พ.ต.อ.สมเกียรติ วรรณสิริวิไล รองผบก.อก.บช.ปส. ในฐานะผู้ช่วยโฆษก ปส.เปิดเผยว่า วันนี้นายเบนซ์มาพบพนักงานสอบสวน ให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยนำเอกสาร 26 ชุด จำนวน 150หน้า มามอบ เป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในเรื่องของธุรกิจ รายได้เสริมที่ประกอบธุรกิจ ไปจนถึงรายการต่างๆเช่น การสั่งซื้อสินค้า เอกสารสัญญาต่างๆเกี่ยวกับการโอนหรือซื้อขายรถยนต์ ซึ่งพนักงานสอบสวนรวบรวมไว้เพื่อเป็นหลักฐานชั่งน้ำหนักประกอบคำให้การ แต่ตอนนี้รอธุรกรรมการเงินจากธนาคารต่างๆ เพื่อมาสรุปความสัมพันธ์ในแต่ละส่วน และให้คณะพนักงานสอบสวนตัดสินใจอีกครั้งในสัปดาห์หน้า สำหรับเอกสารที่นายเบนซ์มอบมาถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าเคลียร์ทุกประเด็น ชัดเจนแล้ว แต่ตำรวจก็ต้องตรวจสอบว่าสัมพันธ์ต่างๆนั้นสอดคล้องตรงกับคำให้การหรือไม่
พ.ต.อ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่มีข้อสงสัยว่ารายได้นายเบนซ์ไม่น่าจะมีจำนวนมากเพียงพอที่จะซื้อรถได้นั้น ยังไม่ได้ลงลึกถึงขั้นว่านายเบนซ์มีกำไรหรือขาดทุนในธุรกิจเท่าใด ตนจึงขออนุญาตให้เป็นหน้าที่ของงานสอบสวน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ารายละเอียดการให้ข้อมูลในส่วนใดบ้างของนายเบนซ์ที่ไม่ตรงกับข้อมูลที่ชุดสืบสวนมี เนื่องจากต้องกลับไปตรวจสอบเอกสารกว่า 150 หน้าให้ครบถ้วนเสียก่อน เพราะนายเบนซ์อ้างว่าไปกู้เงินไฟแนนซ์มา ซึ่งไฟแนนซ์ไปกู้ธนาคารมาอีกต่อ โดยต้องไปดูว่ากู้ไปทำอะไร ใช้ส่วนไหน ส่งให้ใคร แต่เบื้องต้นทราบว่านายเบนซ์นำเอกสารที่กู้จากไฟแนนซ์มาให้แล้ว แต่เอกสารที่ไฟแนนซ์ไปกู้จากธนาคารอีกต่อหนึ่งนั้น ทางตำรวจจะต้องเป็นผู้ติดตามขอข้อมูลจากธนาคารเอง ในส่วนของกรณีว่าก่อนหน้านี้มีรถคันอื่นๆที่นายเบนซ์กู้ไฟเเนนซ์หาหรือไม่นั้น ตนยังตอบไม่ได้
พ.ต.อ.สมเกียรติ กล่าวต่อว่า ในส่วนอื่นๆที่เป็นความเห็นทางคดี ไม่สามารถตอบได้ และสำนวนคดีนั้นเหลือในเรื่องธุรกรรมทางการเงินที่รอจากธนาคารและด้านความสัมพันธ์ทางการเงินต่างๆที่ชี้วัดว่าเกี่ยวพันกันอย่างไรกับนายบอยที่ถูกจับกุมไปแล้ว ทั้งนี้สาเหตุที่มำให้การส่งข้อมูลทางธุรกรรมของนายเบนซ์มายังพนักงานสอบสวนล่าช้านั้นเป็นเพราะนายเบนซ์มีหลายบัญชี ซึ่งหากหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใครก็จะเชิญมาให้ปากคำ แต่ยืนยันว่าขณะนี้นายเบนซ์ยังไม่ใช่ผู้ต้องหา จึงมีสิทธิที่จะยื่นเอกสารให้กับพนักงานสอบสวนได้เสมอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังรับเอกสารในส่วนธุรกิจ รวมไปถึงสัญญา ซื้อขาย กู้ยืม ทุกอย่าง เป็นส่วนสำคัญในการประกอบสำนวน หลังจากนี้อาจจะต้องเชิญนายเบนซ์มาพบอีก เนื่องจากมีทรัพย์ส่วนหนึ่งที่โดนอายัดไว้ เป็นส่วนของ ป.ป.ส. ทั้งนี้สำหรับยุทธการครั้งต่อไปนั้น ไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากต้องรอการรวบรวมข้อมูลและรายละเอียด หากพร้อมหรือพบผู้กระทำความผิดก็จะดำเนินการทันที
ด้าน พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ โฆษก บช. ปส.กล่าวถึง กรณีที่มีกระแสข่าวว่าทางตำรวจสปป.ลาวมีการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด สามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติดทั้งหมด 5 เครือข่าย มีผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 33 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเครือข่ายแก๊งยาเสพติด “ไซซะนะ แก้วพิมพา” นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจลาวยังดำเนินการจับกุมบุคคลที่วิ่งเต้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่ โดยจะจ่ายเงินให้ 30 ล้านบาทต่อหนึ่งคน และจะมีการจ่ายเงินล่วงหน้า 10 ล้านบาทให้เจ้าหน้าที่แลกกับการปล่อยตัวนั้น ว่า ตนเห็นข่าวดังกล่าวแล้ว ซึ่งจากข่าวก็ระบุว่าทางรัฐบาลลาวได้สั่งการให้ตำรวจลาวติดตามสืบสวนขบวนการค้ายาเสพติดทั้งหมด ซึ่งจากข่าวก็ระบุว่าหนึ่งในขบวนการที่ถูกจับกุมมีเครือข่ายของนายไซซะนะ อยู่ด้วย แต่จากการสืบสวนไม่พบว่าบุคคลที่ถูกจับกุมเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลในไทย จึงยังไม่จำเป็นต้องประสานขอข้อมูลจากลาวแต่อย่างใด เป็นคนละส่วนกัน