จากกรณีที่เกิดดราม่า ดีเจเอกกี้ ออกมาฉะเต๋า ทีวีพูล ที่ออกมาพูดผ่านช่องมายาแชนแนล ในรายการที่นี่มายา จนเอกกี้ทนไม่ไหว ต้องฉะคืนแบบรัว ๆ และถึงกับทำให้เต๋าบล็อกเอกกี้ และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในอินสตาแกรมของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง “หน้าเหียกกว่า แก่กว่า” และทัศนคติลบ ถึงขนาดติดแฮทแท็ก #เต๋าหัวหด
ขณะที่ เต๋า ทีวีพูล ก็ออกมาตอบกลับ “เรื่องที่ตนวิจารณ์ไปก็ยอมรับว่า ตนคิดแบบนั้นจริงๆ ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้อยากอ่านข่าวนี้ด้วยซ้ำ แถมยังบอกอีกว่าเมื่อก่อนตนก็เคยถูกเอกกี้ฉะว่า เป็นนักข่าวมีอาการไบโพลาร์มาแล้ว
อยากให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองดีกว่า ตนก็มีหน้าที่ในการวิจารณ์ดารา ส่วนเอกกี้ก็มีหน้าที่เป็นพิธีกรไป พร้อมทิ้งท้ายว่า ที่เอกกี้บอกให้เปลี่ยนไอจี เพราะไม่ได้ทำงานที่ทีวีพูลแล้วนั้น ทุกวันนี้ตนยังจัดรายการกับทางทีวีพูลอยู่” ( รายการ รู้ก่อนใครไวกว่า 4G )
ขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมาย ระบุว่า การนำเอาข้อมูลโรคไบโพลาร์ มาเปิดเผยในทางสาธารณชน ผิด พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 ที่ระบุว่า ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผย และอาจทำให้บุคคลนั้นเสียหายไมไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นโดยตรง
ซึ่ง ผู้ละเมิดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สิ่งสำคัญคือ การโพสต์ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือญาติ และการนำข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยมาเผยแพร่ต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ถูกดูถูกเกลียดชัง มิเช่นนั้นจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทอีก
ภาพจาก อินสตาแกรม พันทิป ฯลฯ