ที่มา: boxza

เสนอข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม

ภาพประกอบข่าวจาก Boxza

เรื่องราวต่างๆภายใน ‘วังหลวง’ ไม่ว่าจะเป็นรัชสมัยไหนก็ถือว่าเป็นเรื่องลับ! ทำให้พวกเราประชาชนคนธรรมดาค่อนข้างอยากรู้อยู่ไม่น้อย  

ซึ่งเว็บไซต์ www.dodeden.com รายงานอ้างอิงจาก Boxza ว่า ในวังไม่ได้มีแค่ความสวยงาม ขนบธรรมเนียมอันแน่นแฟ้นเพียงอย่างเดียวเสมอไป

แต่ยังมี ‘เรื่องลี้ลับ’ แฝงอยู่ด้วย! สำหรับวันนี้ ลองตามไปอ่านเรื่องราวชวนขนหัวลุกในสมัยรัชกาลที่ 5 กันนะคะ  

12342_253580634785564_1088545653_n (1)

เรื่องแรก เกิดขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระราชวังสวนดุสิตปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆ ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่าสวยงามราวกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ภายในบริเวณถูกจัดแต่งด้วยหมู่มวลพืชพรรณ ดอกไม้นานาพรรณ ทำให้หอมอบอวล และร่มรื่นไปทั้งบริเวณ

เมื่อผลไม้นานาชนิดออกผลเล็กใหญ่เต็มต้น ทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ ต่างก็เป็นที่ต้องการของชาววังทั้งหลาย จึงมีผู้ใจกล้าแอบมาสอยผลไม้ของหลวงไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อย จนผิดสังเกต

แถมบางลูกยังทิ้งร่องรอยฟันกัดแทะไว้คาต้น เย้ยทหารเล่นๆเสียอย่างนั้น ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงหูล้นเกล้า ร.5 เลยทีเดียว

พระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ที่เกิดเหตุการณ์ลักขโมยขึ้นในวังหลวง จึงได้เสด็จมาทอดพระเนตรผลไม้ที่โจรทิ้งรอยฟันไว้ด้วยพระองค์เอง

แต่แล้วก็ตรัสขึ้นว่า ไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้

จนกระทั่งคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัดเป็นอย่างมาก ทำให้พวกชาววังและทหารวางแผนดักซุ่มจับหัวขโมย บริเวณต้นฝรั่งที่ออกผลใกล้สุกเต็มที่ ซึ่งร.5 ได้เสด็จทอดพระเนตรเห็นรอยฟันในต้นนี้

และแล้วการอดทนซุ่มรอก็เป็นผล เมื่อพบร่างเงาดำๆวิ่งผ่านเหล่าชาววังและทหารขึ้นไปบนต้นฝรั่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกัดกินผลด้วยความหิวกระหาย

ทำให้ทุกคนดีใจที่จะจับขโมยได้ จึงวิ่งกรูเข้าไปล้อมโคนต้นฝรั่งไว้อย่างรวดเร็ว หวังให้ขโมยหมดทางหนีอย่างแน่นอน

เมื่อทุกคนล้อมโคนต้นฝรั่งไว้หมดแล้ว ต่างก็พากันโห่ร้องเรียกหัวขโมย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ก็ยังไม่มีทีท่าที่หัวขโมยจะยอมลงจากต้นฝรั่ง ซ้ำยังกระโดดลงมาที่พื้นวิ่งพรวดลงไปสระอโนดาด หายลับไปต่อหน้าต่อตาทุกคน!

แต่ที่น่าสยดสยองกว่านั้นคือ ทหารชายหลายคนได้พยายามช่วยกันกระโดดตะครุบตัวไว้ แต่ก็จับไม่ได้ เพราะตัวลื่นเป็นเมือก กลิ่นสาปรุนแรงคล้ายคนตาย ว่องว่อง แข็งแรงเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา ซึ่งแม้แต่ใบหน้าก็ไม่มีใครมองเห็นได้ทัน

เมื่อทุกคนได้สติ จึงเข้าใจในทันทีว่าถูก “ผีหลอก” แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่นขวัญกระเจิง เรื่องนี้จึงกลายเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมากในรั้ววังหลวง

K8458475-3

เรื่องที่สอง เกิดขึ้นที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ รัชกาลที่5 และพระบรมวงศ์เกือบทุกพระองค์ก็ได้เสด็จเข้ามาประทับ ณ ที่แห่งนี้

จากนั้นล้นเกล้า ร.5 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เขียนภาพ พระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลต่างๆไว้ในห้องมุกกระสัน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ เป็นชัยภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ข้างพระมหามณเทียรอันเป็นที่ประทับ และเป็นที่สวรรคตของพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ

เรื่องชวนขนลุกมีอยู่ว่า “เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ท่านยังทรงพระเยาว์มาก ท่านก็ประทับเล่นที่บริเวณห้องมุกกระสัน อยู่ๆท่านก็เห็นบุรุษร่างท้วม สวมเสื้อผ้าอาภรณ์แปลกตา เดินผ่านมาทางพระองค์ แล้วเดินหายเข้าไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลที่ ๓”

ด้วยความที่เจ้าฟ้าจักรพงษ์พระชนม์ยังน้อย จึงได้ตะโกนเรียกออกไปว่า “นั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้!! แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีใครออกมา

เมื่อความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ท่านจึงรับสั่งถามเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ว่าบุรุษนั่นมีรูปลักษณะอย่างไร เจ้าฟ้าจักรพงษ์จึงตอบไปตามที่พระเนตรเห็น

พระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงอนุมานได้ทันทีว่า เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.3) ทรงปรากฎพระองค์ให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ทอดพระเนตรเห็น

จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธุปเทียนไปให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ เพื่อนำไปถวายและขอขมาลาโทษที่ไปล่วงเกินสมเด็จพระบรมราชบูรพการี

547115_255240017952959_1939779001_n

เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับเรื่องราวลี้ลับชวนขนลุก ที่ถูกเล่าขานต่อกันมาหลายร้อยปี ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคลนะคะ

แต่ยังไม่หมดง่ายๆเพียงเท่านี้หรอกค่ะ สำหรับเรื่องราวลี้ลับภายในวังหลวง เนื่องจากว่ามีหลายที่ หลายจังหวัด รวมถึงเกิดขึ้นเจ้าเจ้านายหลายพระองค์มากมาย

โอกาสหน้า จะรวบรวมมาให้อ่านกันใหม่นะคะ รับรองว่าไม่นานเกินรอแน่นอน

เรื่องน่าสนใจ