เรียบเรียงข่าวโดย โดดเด่นดอทคอม
ภาพประกอบจาก โดดเด่นดอทคอม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยปี 2557 ไทยรับภาระบริการสุขภาพต่างด้าวที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ประมาณ 360 ล้านบาท
เล็งตั้งสุขศาลานำร่องใน 8 จังหวัดชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อจัดบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ลดปัญหาและภาระข้ามแดนมาฝั่งไทยในระยะยาว โดยไทยเป็นพี่เลี้ยง และสนับสนุนวิชาการ
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดประชุมผู้บริหารทั้งจากส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค นักวิชาการที่ดูแลงานสาธารณสุขแนวชายแดน จำนวน 55 คน เพื่อพัฒนาระบบการจัดการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
โดยประเทศไทยมีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ คือ เมียนมาร์ พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ในพื้นที่ 31 จังหวัด
และขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยจำนวน 851,830 คน เป็นเมียนมาร์ 543,535 คน กัมพูชา 214,874 คน ลาว 93,421 คน ปัญหาสาธารณสุขชายแดนที่พบบ่อย ได้แก่ โรคติดต่อ เช่น เอชไอวี เอดส์ วัณโรค มาลาเรีย ปัญหาอนามัยแม่และเด็กเช่นเด็กขาดสารอาหาร น้ำหนักตัวน้อย
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวว่า ปัญหาสาธารณสุขแนวชายแดนเป็นปัญหาของทั้งภูมิภาค ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและในระดับนานาชาติ
ยุทธศาสตร์หนึ่งที่กระทรวงสาธารณสุขวางไว้ก็คือการพัฒนาศักยภาพการจัดการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานในฝั่งของชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อให้เป็นที่พึ่งประชาชน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่มักอยู่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบการข้ามมาใช้บริการสาธารณสุขในประเทศไทย
ซึ่งที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ได้สร้างภาระหนัก ให้แก่สถานพยาบาลที่อยู่ตามแนวชายแดนของไทย ไม่อาจปฏิเสธผู้มาใช้บริการด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมได้ ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาพยาบาล ที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้จำนวนมหาศาลจากบุคคลเหล่านี้ ส่งผลให้สถานพยาบาลบางแห่งประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินการคลังมาอย่างยาวนาน จึงต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน ข้อมูลในปี 2557 มีมูลค่าสูงถึง 360 ล้านบาท
สำหรับยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายจะพัฒนาในรูปแบบของการตั้งสุขศาลา
ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงแรกนี้จะเริ่มที่ 3 ประเทศก่อนคือเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา เนื่องจากบริการสาธารณสุขยังไม่ทั่วถึง ต้องได้รับการพัฒนาอีกมาก ได้คัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อสร้างสุขศาลาใน 8 จังหวัด
ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย กาญจนบุรี อุบลราชธานี น่าน สระแก้ว และ ตราด โดยใช้งบประมาณพัฒนาจากกระทรวงการต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ แห่งละประมาณ 500,000 บาท โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งมีความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับท้องถิ่นอยู่แล้ว เป็นพี่เลี้ยงอบรมด้านวิชาการให้
ทั้งนี้ รูปแบบดังกล่าวได้ได้ทดลองนำร่องดำเนินการในชายแดนจังหวัดเมียวดี ซึ่งอยู่ติดกับอำเภออุ้งผาง จังหวัดตาก
โดยโรงพยาบาลอุ้มผาง ได้ใช้เงินงบประมาณสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน ก่อสร้าง “สุขศาลา” ในฝั่งของเมียนมาร์ ให้บริการสุขภาพขั้นพื้นฐานเช่นรักษาพยาบาลการเจ็บป่วยทั่วๆไป ฉีดยา ทำแผล ฉีดวัคซีน เป็นต้น
โดยพัฒนาความรู้อาสาสมัครและค่าตอบแทนคนในพื้นถิ่นในประเทศเมียนมาร์ พบว่า ให้ผลดี เป็นที่พึ่งประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านได้ในระดับหนึ่ง
ซึ่งในระยะยาวมุ่งเน้นให้ประเทศเพื่อนบ้านมีส่วนร่วมในการจัดบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานให้กับประชากรร่วมกัน มั่นใจว่าจะลดภาระเข้ามาใช้บริการสุขภาพในฝั่งไทย