“อินชอน เกมส์ 2014” ปิดฉากแบบไม่ประทับใจเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 เนื่องจากเจ้าภาพ เกาหลีใต้ ทำให้มหกรรมกีฬาแห่งเอเชียมัวหมอง เห็นได้จากกระแสโจมตีจากทั่วโลก เพราะการตัดสินที่เอนเอียงอย่างชัดเจน ทั้งที่ก็ไม่ได้ช่วยเบรก จีน จากการเป็นเจ้าเหรียญทองแต่อย่างใด ดังนั้นภาพรวมอยากจะเรียกว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” จริงๆ
ประเด็นเริ่มรุนแรงขึ้นช่วงโค้ชสุดท้ายของการแข่งขันที่มีการชี้เป็นชี้ตายเหรียญทอง โดยที่ทำให้แฟนกีฬาชาวไทยเดือดจนอยู่เฉยไม่ได้ก็คือฟุตบอลชายรอบรองชนะเลิศที่ มุนฮัค สเตเดียม เมื่อวันอังคารที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ทัพ “ช้างศึก” แพ้ให้กับ เกาหลีใต้ 0-2 ประตูตอกฝาโลงนั้นสุดกังขาเมื่อกรรมการจาก สหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ เป่าให้จุดโทษจังหวะ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ไปเกี่ยวขา ลี แจงซุง ล้มลงบริเวณเส้น 18 หลา ทั้งที่น่าจะอยู่นอกกรอบมากกว่า
ประตูที่ 2 นั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง เพราะเจ้าภาพต้องการการันตีที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิง ไม่เช่นนั้นสกอร์ 1-0 “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นายใหญ่ทีมชาติไทย อาจจะแก้เกมพลิกสถานการณ์ได้ในช่วงครึ่งหลัง ทำให้ 45 นาทีสุดท้ายกลายเป็นเกมที่ไม่มีความหมาย เนื่องจากแม้ว่าทัพ “ช้างศึก” จะเล่นดีแค่ไหน ก็ไม่อาจจะกลับสู่การแข่งขัน เพราะเกมจบไปเพราะฝีมือเชิ้ตดำแล้ว
ต้องยอมรับว่าครึ่งแรกทรงบอลเป็นรอง เกาหลีใต้ อย่างชัดเจน แต่ถ้าความห่างอยู่แค่ 1-0 ไม่มีการใช้ความได้เปรียบที่เป็นเจ้าภาพเข้ามาช่วยเกมก็น่าจะสนุกกว่านี้และอาจจะพลิกผันได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อจบเกมทุกคนจึงหาทางระบายออกผ่านโลกออนไลน์ต่างๆ นำโดย “เฟซบุ๊ก” โพสต์และแชร์ภาพจังหวะจุดโทษกันต่างๆ นาๆ รวมถึงตัดต่อล้อเลียน
แต่ที่รุนแรงก็คือแฟนกีฬาชาวไทยจำนวนมากพร้อมใจกันไปโพสต์ข้อความและภาพโจมตีประเทศเจ้าภาพ เกาหลีใต้ ผ่านแฟนเพจ “2014 Incheon Asian Games” ว่า ไม่มีความสง่างามในการจัดการแข่งขัน เนื่องจากไม่ยุติธรรมในการตัดสิน ทำให้ผู้ดูแลออกแถลงการณ์ขู่การกระทำที่ไม่เหมาะสมต่างๆ ว่าพร้อมจะดำเนินการทางกฎหมายและแบนทันที อีกทั้งแจกแจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำตัดสิน ซึ่งหากมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ จะเข้ามาตรวจสอบทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้ย้อนไปฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ เกาหลีใต้ กับ ญี่ปุ่น รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพร่วม ครั้งนั้น “โสมขาว” สร้างประวัติศาสตร์คว้าอันดับ 4 แต่กว่าจะถึงจุดนี้ก็เรียกได้ว่าใช้กำลังภายในสารพัดไล่ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อเวลาพิเศษชนะ อิตาลี 2-1 ตามด้วยรอบ 8 ทีมสุดท้ายชนะ สเปน ด้วยจุดโทษ 5-3 หลังใน 120 นาทีเสมอกัน 0-0
ฟุตบอลถือเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่การตัดสินอาจจะไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เนื่องจากใช้กรรมการเป็นผู้ชี้ขาดและอาจจะมีการผิดพลาดได้ ดังนั้นมวยก็เช่นกันเข้าสู่ยุคใช้กติกาใหม่ ไม่สวมเครื่องป้องกันศีรษะและเปลี่ยนการให้คะแนนเป็นกรรมการ 5 ท่าน ให้คะแนนยกละ 10 คะแนน ครบยกแล้วสุ่มคะแนนจากกรรมการ 3 ท่านมาตัดสินผล แทนการนับหมัดอย่างที่คุ้นเคยกันมาเกือบๆ 20 ปี ซึ่งทาง “ไอบ้า” หวังว่าวิธีนี้จะลดปัญหาการตัดสินไม่โปร่งใสไปได้
ปรากฏว่าเริ่มชกมาไม่กี่วัน ทีมมวยสมัครเล่นไทยก็ต้องตะลึงกับการตัดสินที่ “อธิบายไม่ได้” หลายไฟต์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นไฟต์ของ สายลม อาดี รุ่น 60 กก. ที่พบกับนักมวยเจ้าภาพในรอบ 16 คนสุดท้าย ซึ่งดูจากภาพการชกแล้ว สายลม ทำได้จะแจ้งมากโดยเฉพาะในยกที่ 2 แต่คะแนนจากกรรมการ 3 คนให้เราแพ้ซะงั้น
ถัดมาเป็นมวยสากลสมัครเล่นหญิง ในรุ่น 51 กก. “น้องมุก” โสภิดา สะทุมรัมย์ ไล่อัดคู่ชกชาวจีนตลอด 4 ยก ครบยกกรรมการท่านหนึ่งให้เราชนะ อีกสองท่านให้เสมอ สุดท้ายกรรมการชูมือให้นักชกจีนชนะ เล่นเอาทีมงานเราประท้วงกันวุ่น แต่ไม่เป็นผลสรุปสาวไทยตกรอบไป พอเป็นแบบนี้ เสียงวิจารณ์จากแฟนมวยก็กระหึ่มทันที เพราะแสดงให้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนกติกาครั้งนี้ไม่ได้ลดปัญหาการตัดสินค้านสายตาเลย
ไม่กี่วันหลังจาก ไทย ที่ทุกคนมองว่าโดนโกงจนตกรอบก็มีประเด็นฮือฮาจากมวย เมื่อ อินเดีย โดนฤทธิ์เจ้าภาพเล่นงานเหมือนกันคือ สาริตา เทวี กำปั้นหญิง ขึ้นโพเดี้ยมเหรียญทองแดงพร้อมน้ำตา แต่ไม่ยอมให้คล้องเหรียญจากนั้นก็นำเหรียญไปคล้องให้ ปาร์ค จี นา กำปั้นเจ้าภาพ
หลังจากไม่พอใจที่ถูกกรรมการตัดสินอย่างน่ากังขา ในการดวลกันรอบรองชนะเลิศรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 60 กิโลกรัม โดยตนมองว่าออกหมัดได้จะแจ้งกว่า แต่เมื่อกรรมการตัดสินสาวจากแดนโรตีรายนี้กลับแพ้ไปแบบขาดลอย 4-0 เสียง
ทุกคนชื่นชมสปิริตของ สาริตา เพราะขึ้นไปรับเหรียญพร้อมน้ำตาที่พรั่งพรูและแสดงให้ทั้งโลกเห็นว่า เกาหลีใต้ ไม่ยุติธรรมเช่นไร ซึ่งแน่นอนว่าเหรียญทองคือ จีน ก็ยกนิ้วโป้งชื่นชมเธอ ขณะที่ตัวเองก็มีน้ำใจนักกีฬามากพอ เนื่องจากเมื่อกำปั้นเกาหลีใต้เอาเหรียญทองแดงไปคืนเธอก็ไม่รับ แต่กลับเข้าไปกอดและกระซิบข้อความบางอย่าง เป็นการแสดงให้เห็นว่านักกีฬาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินและทุกคนก็แฟร์พอไม่พาล ดังนั้น “ไอบ้า” ควรจะต้องรับผิดชอบ รวมถึงเจ้าภาพที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างออกมากังขาเช่นนี้
ยังฉาวไม่หยุดสำหรับมวยที่มีองค์กรอย่าง “ไอบ้า” ควบคุม เพราะมวยสากลสมัครเล่นชายก็มีปัญหาเกิดขึ้นอีก เมื่อ ทักส์ซอกต์ ยัมไบร์ นักชกชาวมองโกเลีย พ่ายคะแนน ฮัม ซัง-เมียง กำปั้นเจ้าถิ่น แบบงงกันทั้งสนาม เนื่องจากผู้ชนะกลับหน้าแหกคิ้วแตกเลือดอาบ แต่คนแพ้ไม่เป็นอะไรเลย แต่จะประท้วงการตัดสินแต่ไม่เป็นผล
แม้ว่าแฟนเพจของ “2014 Incheon Asian Games” จะปิด บล็อก หรือแบน แฟนขาป่วน แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เพราะทุกคนเปลี่ยนเป้าหมายเข้าไปที่ แฟนเพจสหพันธ์มวยนานาชาติ หรือ “ไอบา” โดยแฟนกีฬากลุ่มนี้เลือกใช้สัญลักษณ์การชูนิ้วกลางเป็นหลัก กลับกลายเป็น สาริตา นักชกอินเดีย ที่ถูกตั้งข้อหาและโดนสอบสวนพฤติกรรมแทน หลายคนจวกเธอกลับว่าถ้าไม่พอใจก็ไม่ควรที่จะขึ้นเวทีไปรับเหรียญตั้งแต่แรกเริ่ม
เรียกได้ว่า เอเชียน เกมส์ ครั้งที่ 17 นี้อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ โดย เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพครั้งที่ 3 ต่อจาก โซล ปี 1986 และ ปูซาน ปี 2002 เพราะนอกจากนี้ชาติอื่นยังมีการโพสต์ผ่านโลกออนไลน์ด้วย โดยเฉพาะ มองโกเลีย กับ อิหร่าน ที่ประสบพบเจอกับการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม ใช้คำว่า “Cheat” (ขี้โกง) เต็มไปหมด อิหร่าน เล่นแรงเลยบอกว่า “เรามีแต่น้ำมัน ไม่มีเหรียญทองจะให้” นอกจากนี้ยังมีการผวนคำว่า “Asian” เป็น “Acheat” กันเป็นทิวแถว รวมถึงคำว่า “โกงหลีใต้” จากชื่อชาติเจ้าภาพคือ “เกาหลีใต้” ทั้งหมดก็คือวิธีระบายออกที่ทำได้
ไม่ใช่แค่นั้น เรียกได้ว่าตั้งแต่พิธีเปิดการแข่งขันแล้ว เพราะว่า เกาหลีใต้ ทำลายความเป็นมหกรรมกีฬาด้วยการใช้ดาราสาวอย่าง ลี ยอง เอ จาก แดจังกึม ซีรีส์สุดฮิตที่ทำเอาคนติดงอมแงมไปทั่วโลกมาจุดไฟที่กระถางคบเพลิงเพื่อโปรโมต แทนที่จะเป็นนักกีฬาชื่อดังตามธรรมเนียม กลายเป็นคนคนเหล่านี้ทำได้เพียงเชิญธงและวิ่งเชิญคบเพลิงอยู่ข้างล่างเท่านั้น แถมการแสดงต่างๆ ยังอัดแน่นไปด้วยศิลปิน เค-ป็อป นำโดย ไซ จนเหมือนเป็นเวทีคอนเสิร์ตไปแล้ว
เกาหลีใต้ อ้างว่าไม่อยากจะให้พิธีเปิดนั้นดูอลังการเหมือนชาติอื่นๆ ที่เคยทำมา โดยอยากจะสื่อว่าแม้ไม่มีเงินมากมายก็สามารถที่จะเป็นเจ้าภาพได้ทั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่างบที่ทุ่มไปนั้นก็มหาศาลใช่ย่อย แต่กลับเนรมิตออกมาได้แค่นี้ ทำเอาคนดูด่ากันจมหู ทั้งหลายทั้งปวงที่ประมวลมานั้นรวมถึงผลการแข่งขันที่คาใจเรียกได้ว่า เอเชียน เกมส์ 2014 ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทั้งที่ก็มีประสบการณ์จัดมาแล้วถึง 2 ครั้ง ไม่นับระบบการจัดการภายในระหว่างแข่งขันอีก ดังนั้นคงไม่มีมหกรรมใดระดับเอเชียที่จะมัวหมองไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ขอบคุณเนื้อหาจาก ผู้จัดการ