ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนซึ่งอุดมไปด้วยสายลมและแสงแดดที่แผดจ้าได้ในทุกเวลาในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้พบว่าชั้นบรรยากาศของโลกเริ่มบางลงและเกิดรูรั่วของชั้นโอโซน(Ozone) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลตตัวร้ายสามารถสาดส่องลงมายังพื้นผิวโลกได้อย่างง่ายดาย และยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าแสงแดดจะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็เฉพาะแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเท่านั้น แต่จะมีอันตรายมากในช่วง 10.00 – 15.00 นาฬิกา ซึ่งรังสีอัลตราไวโอเลตจะเริ่มแผดเผาและมีปริมาณมาก และถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมีเมฆปกคลุมมากก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากแสงแดด เพราะรังสีตัวร้ายสามารถเล็ดลอดผ่านลงมาได้อย่างสบายๆ
โรคที่จะเกิดเมื่อเจอแสงแดดมีอะไรบ้าง
รังสี UV ในปริมาณเล็กน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ในการผลิตวิตามิน D และใช้ในการรักษาโรคบางชนิดเช่น โรคกระดูกอ่อน โรคดีซ่าน เป็นต้น แต่การสัมผัสกันรังสี UV ในระยะยาวอาจก่อให่เกิดผลเสียต่อผิวหนัง ตา และระบบภูมิต้านทานคือ
หากต้องการออกแดดบ่อยครั้งหรือโดนแดดจัดๆ เช่นไปทะเลจะมีการป้องกันอย่างไร
สำหรับการป้องกันสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตมากๆ คือเวลาประมาณ 10.00-15.00 น. หากจำเป็นต้องตากแดดก็ควรปกปิดผิวพรรณด้วยการใส่เสื้อแขนยาว คอปิด กางร่ม หรือใส่หมวกปีกกว้าง
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่งก็คือ การทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพราะแม้จะอยู่ใต้ร่มไม้หรือชายคาบ้านก็ยังมีโอกาสไดรับรังสี UV เหมือนกับเวลาที่อยู่กลางแดด เพราะพื้นทราย พื้นน้ำ พื้นคอนกรีต สามารถสะท้อนรังสี UV เข้าสู่ผิงกายได้หรือแม้กระทั่งในวันที่มีเมฆหมอกหนาก็ยังคงต้องทาครีมกันแดดเพราะเมฆหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้
เลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไร
สำหรับคู่มือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพของแสงแดดในประเทศไทยโซนร้อนอย่างบ้านเรานั้น ควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ ค่า SPF และค่า PA ซึ่งค่า SPF คือค่าการป้องกันผิวจากรังสี UVB โดยจะสังเกตจากค่าตัวเลขที่ต่อท้าย SPF ค่าตัวเลขยิ่งมากก็หมายถึงค่าการปกป้องก็จะมากตามตัวเลขไปด้วย
โดยที่ SPF 1 จะสามารถปกป้องผิวได้นานประมาณ 20 นาที ดังนั้นเราจึงควรเลือกใช้ตั้งแต่ระดับ SPF 20 ขึ้นไป ปัจจัยต่อมาควรพิจารณาอีก 1 ตัว คือค่า PA หรือค่าการปกป้องผิวจากรังสี UVA โดยที่ค่า PA+ จะหมายถึงค่าการปกป้องผิวได้ 2 – 3 เท่า และค่าที่มากที่สุดคือ PA+++ จะหมายถึงค่าการปกป้องถึง 8 เท่า
ทั้งนี้ค่า SPF และ PA จะทำให้ระยะเวลาของการปกป้องผิวแตกต่างกันขึ้นอยู่กัยสภาพผิวของแต่ละคน และความเข้มข้นของแสงแดดในขณะนั้น หากคุณต้องการทำงานกลางแจ้งหรือมีกิจกรรมที่ต้องออกแดดบ่อยต้องเจอน้ำและเหงื่อระหว่างวัน หรืออยากจะไปเที่ยวทะเลท้าทายสายลมและแสงแดด ก็ควรเลืองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกันน้ำ (Waterproof) ด้วย ที่สำคัญ! เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดควรทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแดด ก่อนที่จะออกเผชิญหน้ากับแสงแดดประมาณ 15-30 นาที โดยควรหมั่นทาทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั่วทั้งลำคอ และช่วงไหล่อย่างสม่ำเสมอ