ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เปิดเผยแนวโน้มอัตราการขยายตัวของรายได้โรงพยาบาล และศูนย์การแพทย์เอกชน ในปี 2561 และได้ฉายภาพมองถัดไปในระยะข้างหน้าจะถูกขับเคลื่อนโดยรายได้จากลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก
โดยเฉพาะตลาด Medical Tourism สะท้อนได้จากรายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่มาจากกลุ่มคนไข้ต่างชาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25.0 ของรายได้ทั้งหมดของโรงพยาบาลเอกชนเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ
ทั้งนี้ปัจจัยหนุนหลักมาจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วโลก และไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ อีกทั้งการสนับสนุนจากทางภาครัฐ
ไม่ว่าจะเป็นการขยายระยะเวลาพำนักในไทยให้กับผู้สูงอายุชาวต่างชาติเป็นเวลารวมไม่เกิน 10 ปีจากเดิมแค่ 1 ปี (ครม. อนุมัติเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2559) รวมถึงการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ( Medical Hub ) กลายเป็นปัจจัยหนุนให้คนไข้ชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่ม Medical Tourism เลือกที่จะเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลในไทยเพิ่มขึ้น
โดยตลาด Medical Tourism สามารถทำรายได้เฉพาะค่ารักษาพยาบาลเข้าประเทศปีละไม่ต่ำกว่า40,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 7-9
นายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล เอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ ( S Spine Hospital and nerve) และศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท สมอง และกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง และระบบประสาทแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเปิดโรงพยาบาล คือ การเรียนจบแพทย์มาจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นก็ทำงานโรงพยาบาลชั้นนำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะผลักตัวเองมาชิมลางการทำธุรกิจทางการแพทย์ด้วยการเปิดคลินิกก่อน ผลตอบรับดีมาก
จากนั้นได้ควักกระเป๋าลงทุนเพิ่มเปิดตัวโรงพยาบาลเอส อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีฐานลูกค้าเดิม และลูกค้ารายใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ธุรกิจขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าโตวันโตคืน แนวโน้มสดใสต่อเนื่องทั้งในกลุ่มของลูกค้ากลุ่มคนไทย และต่างชาติ
ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามารักษาโรคปวดหลังร้าวลงขาเดินไม่ได้ ที่ เกิดจากกระดูกเคลื่อน หมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซึ่งพบเจอในบุคคลทั่วไปวัยทำงานไปจนถึงผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มเพิ่มมาขึ้น ที่โรงพยาบาลแห่งนี้มีชื่อเสียงลำดับต้นๆของเมืองไทยและของโลก
ด้วยจุดแข็งของแบรนด์ S คือการมีทีมงานแพทย์ และพยาบาล เฉพาะทางโรคกระดูกสันหลังและระบบประสาท ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ทำให้รู้ลึก รู้จริง สามารถรักษาได้ตรงจุด การวินิจฉัย ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ประกอบกับการนำนวัตกรรมสมัยใหม่จากทั่วโลกเข้ามาช่วยในการรักษา ใช้เลเซอร์และส่องกล้องนำวิถีในการผ่านตัดเป็นหลัก ห้องผ่าตัดจึงมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยระดับโลก ทำให้รักษาถูกต้องตรงจุด เกิดข้อผิดพลาดน้อยมาก นอกจากนี้ยังใช้ระบบออนไลน์ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย คนไข้สามารถดูผล และฟังการวินิจฉัยไปพร้อมๆ กับหมอได้เลย
สิ่งสำคัญที่สุด คือ คนไข้ที่ได้รับการรักษาผ่าตัดด้วยระบบการยิงเลเซอร์นั้นจะมีแผลเล็กมาก ไม่เจ็บปวดมาก และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลายคืน เพียงใช้เวลาเพียง 1 วัน ก็สามารถเดินได้เหมือนคนปกติ ไม่เหมือนไปทำการผ่าตัดในที่อื่นๆ ที่ต้องเจ็บปวดทรมาน และใช้เวลานานในการรักษา
“ที่สำคัญการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอสจะเสียเลือดน้อยมาก แผลมีขนาดเล็ก มีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยในการรักษาคนไข้ อุปกรณ์สะอาดปลอดภัย ตอบโจทย์ผู้ป่วยให้สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว ไม่ทรมาน และไม่เสี่ยงการติดเชื้อ ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีมากมาย เช่น เตียงไฟฟ้า ถังขยะออโต้ รวมถึงการตกแต่งบรรยากาศในโรงพยาบาลให้มีบรรยากาศเป็นโรงแรม รีสอร์ท ให้คนไข้ดูผ่อนคลาย ไม่เครียด”
ทั้งหมดนี้คือจุดแข็งที่โรงพยาบาลเอส มีเหนือคู่แข่ง นับว่าเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งแรกของเมืองไทย ที่มีเชียวชาญแบบมืออาชีพ สุดๆ อีกทั้งยังนำนวัตกรรมใหม่ทุกรูปแบบที่มีอยู่บนโลกใบนี้มาใช้ในการรักษา มีความทันสมัย ใส่ใจด้านความปลอดภัย จึงทำให้ลูกค้าทั้งใน และต่างชาติไว้ใช้โรงพยาบาลเอส