แพทย์เตือนฉีดฟิลเลอร์เสริมความงาม เสี่ยงเนื้อตาย-ตาบอด เผยจุดเสี่ยง “หว่างคิ้ว-ร่องแก้ม” ทำคนไทยตาบอดแล้ว 8 ราย
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่สถาบันโรคผิวหนัง สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประทศไทย แถลงข่าวเรื่อง“ตาบอดเนื้อตาย ภัยร้ายจากฟิลเลอร์” โดย นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนัง กล่าวว่า ปัจจุบันการฉีดสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์เป็นที่นิยมสูงมาก ส่วนใหญ่นิยมฉีดที่จมูกและคาง ซึ่งฟิลเลอร์มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งที่ไม่สลายตัวตามธรรมชาติ คือแบบซิลิโคนเหลว และแบบที่สลายตัวได้ตามธรรมชาติ คือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด ซึ่งเป็นสารเติมเต็มตัวเดียวที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ทั้งนี้ผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ มีความร้ายแรงและรักษาได้ยาก โดยเริ่มจากการอักเสบมีหนองบริเวณที่ฉีด และติดเชื้อซ้ำซาก ร่างกายกำจัดออกได้ยาก ซึ่งเชื้อนี้จะปนอยู่กับฟิลเลอร์และไม่สลายตัว แม้จะรักษาอย่างไรก็ไม่สามารถเอาเชื้อออกได้หมด หรือเป็นตุ่มหนองจนทำให้เกิดเนื้อตาย และหากฉีดบริเวณใบหน้าสารฟิลเลอร์อาจเข้าเส้นเลือด จนทำให้ตาบอดได้ จึงขอแนะนำให้รับบริการในสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง และฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตที่ถูกต้องเช่นกัน
ด้านน.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดฟิลเลอร์จนใบหน้าเสียโฉม เปิดเผยว่า ได้ไปฉีดสารฟิลเลอร์ที่จมูก ในคลินิกแห่งหนึ่ง โดยฉีดไป 2 ครั้ง ครั้งแรกไม่พบความผิดปกติ แต่ครั้งที่ 2 เกิดอาการบวม เป็นแผลที่ใบหน้า ซึ่งตอนหลังมาทราบว่าคนที่เคยฉีดฟีลเลอร์ตัวนี้ ส่วนใหญ่มีปัญหากันทุกราย บางรายเป็นเล็กน้อยรักษาหายได้ แต่ตนรักษามาแล้วหลายวิธีผ่านมากว่า 3 ปี จนถึงขณะนี้นอกจากรักษาไม่หายแล้วกลับยิ่งแย่ลง ไม่สามารถทำงานได้เสียโอกาสในชีวิตมากมาย จึงอยากเตือนใครที่อยากเสริมจมูกควรปรึกษาแพทย์ศัลยกรรม และใช้บริการในสถานพยาบาลที่มีใบรับรองที่ถูกต้องด้วย
ด้านนพ.ไพศาล ร่วมวิบูลย์สุข ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ฯ กล่าวว่า จากรายงานทางการแพทย์พบผู้ป่วยที่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการฉีดสารฟิลเลอร์ทั่วโลกถึง 61 ราย และพบผู้ป่วยที่ตาบอดในประเทศเกาหลี 44 ราย สหรัฐฯ 3 ราย และในประเทศไทยมีการยืนยันพบผู้ป่วยที่ตาบอดจากการฉีดสารฟิลเลอร์แล้ว 8 ราย แต่ 1 ใน 8 คนนี้ ที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถรักษาได้ทันเวลาและมีกลับมามองเห็นได้แล้ว โดยตำแหน่งที่ฉีดแล้วเสี่ยงมากที่สุดคือ หว่างคิ้ว 58.3% และร่องแก้ม 33.3% เนื่องจากบริเวณนี้มีเส้นเลือดจำนวนมาก หากฉีดแล้วไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา ก็จะทำให้สูญเสียการมองเห็น จนตาบอดสนิทได้ และหากมีการอุดตันของเส้นเลือดที่สมองร่วมด้วย อาจส่งผลให้เป็นอัมพฤกษ์ได้เช่นกัน.
ขอบคุณที่มา เดลินิวส์