ใส่บอลลูนลดความอ้วน ลดปัจจัยหลักที่ทําให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง! เพราะในปัจจุบัน พบคนไทยเป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกินมาตรฐานกันเป็นจํานวนมาก ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตตั้งแต่การทานอาหาร ขาดการออกกําลังกาย และการที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทําให้ความสะดวกสบายมากขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทําให้เกิดภาวะอ้วนลงพุงมากขึ้นในประชากรไทย และประชากรทั่วโลกเช่นกัน
Gastric Balloon ลดน้ำหนักด้วยบอลลูน การผ่าตัดเพื่อทำให้คุณทานอาหารได้น้อยลงแต่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
มีความพยายามมากมายหลากหลายวิธีในการช่วยลดน้ำหนัก อาจเริ่มตั้งแต่การลดอาหารจํากัดแคลอรีที่ทานเข้าไป การใช้ยาลดความอ้วน การออกกําลังกาย บางรายอาจต้องใช้วิธีทางการแพทย์เข้าช่วย เช่น การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร แต่วิธีการนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทําได้ เพราะการผ่าตัดถือเป็นเรื่องใหญ่ และมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก ก็จะมีโรคประจําตัวที่สัมพันธ์กับความอ้วนอยู่แล้ว จึงมักเกิดความเสี่ยงและอันตรายได้
มาในปัจจุบัน มีการนํานวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยในการลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่เรียกว่า การใส่บอลลูนลดความอ้วน วิธีนี้ไม่ต้องเสี่ยงกับการผ่าตัด จึงมีความปลอดภัยมากกว่า และอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สําหรับคนอ้วน หรือคนที่น้ำหนักมาก ที่พยายามลดความอ้วนมาหลายวิธีแล้วแต่ไม่สําเร็จ
นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ว่านี้ เป็นการลดพื้นที่ในกระเพาะอาหารลง ด้วยการใส่บอลลูนที่มีน้ำเกลืออยู่ภายใน เข้าไปแทนที่พื้นที่ในกระเพาะอาหาร เพื่อช่วย ให้คนที่ต้องประสบกับภาวะอ้วน สามารถควบคุมการทานอาหารให้น้อยลงได้ โดยขั้นตอนของการใส่บอลลูนลงในกระเพาะอาหารนั้น จะคล้ายกับการส่องกล้องเพื่อตรวจโรคทางกระเพาะอาหารทั่วไป คือใช้กล้องผ่านเข้าไปทางปาก เพื่อนําบอลลูนขนาดนิ้วก้อยเข้าไปลงสู่กระเพาะอาหาร แล้วจึงค่อยๆ เป่าบอลลูนให้ขยายออกพร้อม ใส่น้ำเกลือประมาณ 500 CC ที่ผสมสารเมธิลีนบลูสีฟ้า ที่มีความปลอดภัยทางการแพทย์เข้าไป เพื่อที่จะได้ทราบหากบอลลูนมีการรั่ว จากนั้นนํากล้องออกเป็นอันเสร็จ ขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 15 – 20 นาที ซึ่งบอลลูนจะเข้าไปแทนที่อยู่ในกระเพาะอาหาร โดยใช้พื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของ กระเพาะอาหาร ส่งผลให้ทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น โดยบอลลูนที่ใช้นํามาจากซิลิโคนชนิดพิเศษ ที่มีความยืดหยุ่น สามารถหด – ขยายได้ ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร
ข้อดีของการลดความอ้วน ด้วยวิธีการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ด้วยการส่องกล้องคือ ลดน้ำหนักได้ดีกว่าการทานยา สะดวก ไม่มีแผล พักฟื้นเร็ว และ ระหว่างที่ใส่สามารถปรับบอลลูนได้ โดยเฉลี่ยแล้วจะใส่บอลลูนไว้ 1 ปี แพทย์จึงจะนําบอลลูนออก แต่หลังจากใส่บอลลูนไปแล้ว 3-6 เดือน ถ้ายังไม่พอใจในน้ำหนักที่ลดลง ก็สามารถที่จะมาเพิ่มขนาดของบอลลูนได้ โดยแพทย์จะทําการเติมน้ำเกลือเพิ่มเข้าไปในบอลลูน เพื่อที่จะเพิ่มขนาดบอลลูนให้ขยายขึ้นโดยการส่องกล้องเช่นเดิม หากว่าน้ำหนักลดลงหรือควบคุมได้แล้ว และเช่นกัน หากเวลาผ่านไป ก็สามารถมาทําซ้ำได้อีก
วิธีการนําบอลลูนออกก็เช่นเดียวกัน คือการส่องกล้องเข้าไปในกระเพาะอาหาร แล้วทําให้บอลลูนยุบในกระเพาะแล้วดึงออก หลังการทําอาจเกิดผลข้างเคียง ได้บ้างในช่วง 3-7 วันแรกของการใส่บอลลูน คืออาการคลื่นไส้อาเจียน แน่นท้อง แต่อาการจะดีขึ้นตามลําดับ และหลังการใส่บอลลูนไปแล้ว แพทย์จะให้เปลี่ยนแปลงการทานอาหาร โดยช่วงแรก เริ่มจากการทานอาหารเหลวก่อน จากนั้นค่อยๆ ปรับเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย หลังจากนั้นจึงจะเป็นอาหารปกติ แต่ก็ต้องจํากัดปริมาณอาหารที่ทาน รวมทั้งแคลอรีด้วย ในแต่ละมื้อ ควรทานในปริมาณที่น้อย แต่ทานบ่อยมื้อขึ้น
………………………………………………………………………….
วิธีการนี้ ช่วยลดน้ำหนักลงได้ในแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่โดยเฉลี่ยคือ 10% ของน้ำหนักตัวคนไข้เอง อาจมีบางรายที่น้ำหนักไม่ลดลง เนื่องจากทานอาหารไม่ถูกต้อง ใช้การทานอาหารที่ไม่หนักท้องแต่แคลอรีสูง เช่น ไอศกรีม มิลค์เชค ช็อกโกแลต เป็นต้น เพราะฉะนั้น การควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการรักษาจึงเป็นสิ่งจําเป็น และหลังการใส่บอลลูนลงไปแล้ว สามารถใช้ชีวิตและออกกําลังกายได้ตามปกติ แค่หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณช่วงท้อง ยิ่งหากได้ใส่ใจและมีวินัยในการเลือกทานอาหารด้วยแล้ว จะยิ่งทําให้การลดน้ำหนักได้ผลดีมากยิ่งขึ้น
เนื้อหาโดย Dodeden.com