ไขปัญหาสาวไทยคลั่งผอม เพราะพวกเธอเข้าใจรูปร่างตัวเองผิดไป แม้จะผอม แต่ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองอ้วนอยู่ เป็นทัศนคติในสังคมว่าต้อง Perfect Body ต้องผอมเท่านั้น ต้อง Eco to Thin ต้องสมบูรณ์แบบจึงจะมีความสุข มีที่ยืนในสังคม พอไปผูกโยงกันเข้าว่าเพอร์เฟคต้องผอม เพอร์เฟคต้องมีความสุข ผอมจึงเท่ากับมีความสุข
นอกจากนั้น อีกหนึ่งปัจจัยคือ พวกเธอเชื่อว่าการกินเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ ไม่เหมือนปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่เราไม่สามารถควบคุมเองได้ แต่เมื่อสังคมยุคนี้ คนมีความเครียดมากขึ้น กลับกลายเป็นว่าพวกเธอถูกการกินเข้าควบคุมซะเอง บ้างกินจนควบคุมไม่ได้ เกิดเป็นโรคอ้วนต้องรักษา บางคนรุนแรงถึงขั้นผ่ายผอมเห็นแต่กระดูก เพราะกลัวอ้วนจนไม่กล้ากินอะไรเข้าไปเลย
ซึ่งทางการแพทย์เรียกอาการเหล่านี้ว่า อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia Nervosa) ซึ่งเป็นโรคทางระบบประสาทชนิดหนึ่ง ที่มีอัตราการตายสูง และต้องรักษายาวนานต่อเนื่อง มีผลต่อความสัมพันธ์กับสังคมและคนรอบข้างด้วย อีกทั้งยังมีกลุ่มบูลิเมีย (Bulimia) เป็นภาวะความผิดปกติในเรื่องของการทานอาหาร ด้วยการกินเหมือนเดิม แต่จะอาเจียนออกมาหลังจากการทาน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของแพทย์คนไทย ท่านทําการศึกษาเรื่องนี้ พบว่าคนไทยมีภาวะแฝงโรคกลัวอ้วนไม่แพ้ต่างชาติเลย และยังพบว่าอุดมคติหรือความเชื่อเรื่องน้ำหนักของคนรุ่นก่อนและรุ่นใหม่เปลี่ยนไป และมีน้ำหนักลดลงเรื่อยๆ หากเราดูจากนางสาวไทยในอดีต จะพบว่ามีเนื้อสักนิดจึงจะสวย ซึ่งตรงข้ามกับตอนนี้ อีกทั้งหากมีประวัติคนในบ้านเคยเป็นโรคนี้มาก่อน ก็อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้
จากที่เราได้เรียนรู้ และทําความเข้าใจตรงกันแล้วว่า เราใช้ยาลดความอ้วนผิดๆ กันมากมาย แต่นั่นก็ยังไม่ทําให้หลายคนคลายความกังวลลงไปได้ เพราะทัศนคติ “ต้องผอม” ฝังรากลึกเหลือเกิน ดังนั้น เราจึงต้องมีกระบอกเสียงที่น่าเชื่อถือมาทําหน้าที่เป่าประกาศความจริง เรื่องสุขภาพดีไม่ต้องผอมเพียงอย่างเดียว
มีสถิติการเสียชีวิตเพราะโรคกลุ่มที่เรียกว่าโรคกลัวอ้วน บ่งบอกให้เห็นชัดเจน หากคนคนนั้นเป็นบูลิเมีย จะมีอัตราการตายถึง 10 – 20% เลยทีเดียว ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการทางจิต เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงมาก หรือด้วยสภาพร่างกายที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทําให้อวัยวะต่างๆ ต้องหยุดทํางานไปโดย อัตโนมัติ หรือการขาดน้ำ หรือสารอาหารที่เหมาะสม ปริมาณเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หรือหากหลีกเลี่ยงการกินนานๆ แล้วกลับไปกินใหม่ ก็อาจทําให้หัวใจ เต้นผิดจังหวะได้ เสี่ยงต่อภาวะไตวายร่วมด้วย หรืออาจทําให้กระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารฉีกขาดได้ ในกรณีอาเจียนออก อาจเป็นโรคตับ ไทรอยด์ร่วมด้วย เป็นต้น
เกณฑ์การวินิจฉัยของหมอคือ มีความกลัวน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง หรือไม่ยอมที่จะคงสภาพน้ำหนักเดิมเอาไว้ คือต้องการจะลดน้ำหนักเท่านั้น หรือมีน้ำหนักน้อยกว่าร้อยละ 85 ของ Ideal Body Weight หรือแม้กระทั่งมองไม่เห็นภาพร่างกายที่แท้จริง ประจําเดือนขาดอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป หรือมีลักษณะการกินที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งไม่ยอมกิน หรือกินแล้วไปอาเจียนออก ถ้ามีอาการเข้าข่ายอย่างน้อย 3 ข้อดังกล่าว ก็สามารถเรียกเป็นโรคได้แล้ว และแม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าสูญเสียไขมันออกไปแล้ว แต่ก็อยากเตือนคนที่น้ำหนักลดมากๆ ว่า ยังสูญเสียกล้ามเนื้อและมีผิวพรรณที่เหี่ยวย่นไปด้วยเช่นกัน และอาจมีปัญหาทางจิตเวชร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทํา กลัวความผิดพลาด มีปัญหาทางการเรียนรู้ มีปัญหาทางบุคลิกภาพ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มีความสัมพันธ์ที่ไม่คงที่
อยากให้ทําความเข้าใจก่อนว่า ผอมไม่ได้แปลว่าสุขภาพดี เราควรมีน้ำหนักที่ถูกต้องเหมาะสมกับร่างกาย เพศ วัยตามสัดส่วนที่ถูกต้องด้วย แต่ละคนไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีเดียวกันได้ทั้งหมด การจะเอาน้ำหนักออก คือการเอาไขมันออก ไม่ใช่กล้ามเนื้อ ดังนั้น การอดอาหารอาจทําให้เราสูญเสียทั้งสองอย่างได้เลย ดังนั้น ควรงดอาหารที่ไม่เหมาะสมออกไป แล้วออกกําลังกายเพื่อให้ได้กล้ามเนื้อที่เฟิร์มขึ้น จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เราต้องมาวิเคราะห์ปัจจัยก่อนว่าเราอ้วนจริงหรือเปล่าหรือคิดไปเอง โดยการวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI ไม่เกิน 24-25 หรือตรวจวัดกับเครื่องวัดสัดส่วนอย่างละเอียด) และถ้ามั่นใจว่าอ้วนจริง ก็ต้องดูว่าอ้วนจากสาเหตุใด เช่น กินของหวานมากเกินไปหรือไม่ กินของทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งเป็นปัจจัยอ้วนที่ร้ายกาจ ก็ต้องไปตัดปัจจัยนั้นทิ้ง ถ้าวิเคราะห์แล้วไม่ใช่ ก็ต้องมาตรวจวัดอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะอาจเป็นเรื่องฮอร์โมนหรือปัจจัยอื่นๆ
ผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ต้องให้ความสําคัญกับเรื่องการกิน โดยหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ให้ความหวาน บรรดาอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวานต่างๆ เช่น น้ำอัดลม หรือแม้กระทั่งกาแฟ ชา นม น้ำผสมเกลือแร่ที่เราดื่มทุกวัน ก็เสี่ยงมีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้บอกวิธีลดน้ำหนัก แนะนําว่าการดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด เราต้องเลือกอาหารที่ธรรมชาติมากที่สุด เลี่ยงอาหารสําเร็จรูปหรือแปรรูป เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวไม่ขัดสีแทน
สุดท้ายนี้ เราอยากจะย้ำว่า ปัจจัยที่ทําให้เราอ้วน ไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำตาล และแป้งที่เรากินเข้าไปมากกว่า เพราะร่างกายรับไขมันจากภายนอกได้จํากัด แต่น้ำตาลสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันในร่างกายได้ เพราะฉะนั้น ควรตัดน้ำตาลออกไปให้ได้มากที่สุด หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ อาจเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทรายแดงไม่ขัดสี หรือใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงให้น้อยที่สุด และระมัดระวังรวมทั้งหลีกเลี่ยงสารสังเคราะห์ทดแทนความหวานด้วย ส่วนเรื่องแคลอรี่นั้น เราต้องเลือกประเภทอาหารด้วย เพราะการกินอาหารที่มีแคลอรี่น้อย แต่ไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ทําให้มีสุขภาพดีได้ และการที่เราบริโภคแคลอรีน้อยเกินไป อาจทําให้ร่างกายคิดว่าขาดอาหาร ร่างกายก็จะไม่เผาผลาญ เพราะต้องเก็บพลังงานไว้ นั่นอาจเป็นผลเสียมากกว่า ทางที่ดีกินให้น้อยกว่าออก (กําลังกาย) จึงจะถูกต้อง
••••••••••••••••••••••
และนั่นเป็นเหตุผลให้เราไม่ควรละเลยการออกกําลังกาย ซึ่งเวลาที่ดีที่สุดคือตอนเช้า เนื่องจากเป็นเวลาที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดน้อย จึงต้องดึงไขมันที่เก็บอยู่ออกมาใช้ ทําให้เราลดน้ำหนักได้ดี
เนื้อหาโดย Dodeden.com